สัตว์จะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น (๒)
สมัยหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตรและท่านพระโมคคัลลานะปรินิพพานแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคประทับอยู่กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ใกล้อุกกเจลนคร แคว้นวัชชี ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคซึ่งภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ประทับนั่งที่กลางแจ้ง ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงชำเลืองดูภิกษุสงฆ์ผู้นิ่งอยู่ แล้วตรัสกกับภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทของเรานี้ปรากฏเหมือนว่างเปล่า เมื่อสารีบุตรและโมคคัลลานะยังไม่ปรินิพพาน สารีบุตรและโมคคัลลานะอยู่ในทิศใด ทิศนั้นของเราย่อมไม่ว่างเปล่า ความไม่ห่วงใยย่อมมีในทิศนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะเหล่าใด ที่ได้มีมาแล้วในกาลอันเป็นอดีต พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ก็มีคู่สาวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับสารีบุตรและโมคคัลลานะของเรา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะเหล่าใด จักมีในกาลอันเป็นอนาคต พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ก็จักมีคู่สาวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับสารีบุตรและโมคคัลลานะของเรา.
ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้น่าอัศจรรย์ ข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อนของสาวกทั้งหลาย ที่สาวกทั้งหลายจักกระทำตามคำสอน จักกระทำตามโอวาทของศาสดา และจักเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ เป็นที่ตั้งแห่งความเคารพและความสรรเสริญของบริษัททั้ง ๔.
ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้น่าอัศจรรย์ ข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อนของตถาคต เมื่อคู่สาวกเห็นปานนี้ปรินิพพานแล้ว ความเศร้าโศกหรือความร่ำไรรำพัน ก็มิได้มีแก่ตถาคต ภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้นจักได้มาแต่ไหนเล่า สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ดังนี้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้.
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่ มีแก่นแล้ว ส่วนใดเก่าคร่ำกว่าส่วนอื่น ส่วนนั้นพึงผุพังไปก่อน ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่มีธรรมเป็นแก่นสารแล้ว สารีบุตรและโมคคัลลานะก็ปรินิพพานไปแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้นจักได้มาแต่ไหนเล่า สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ดังนี้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้.
ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะนั้น เป็นอย่างไร.
ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย.
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่ามีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม จักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ.
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในฐานะอันเลิศที่สุด.
-บาลี มหาวาร. สํ. 19/217/741.
https://84000.org/tipitaka/pali/?19//217,
https://etipitaka.com/read/pali/19/217
English translation by Bhikkhu Sujato
At one time the Buddha was staying in the land of the Vajjīs near Ukkacelā on the bank of the Ganges river, together with a large Saṅgha of mendicants. It was not long after Sāriputta and Moggallāna had become fully extinguished. Now, at that time the Buddha was sitting in the open, surrounded by the Saṅgha of mendicants.
Then the Buddha looked around the Saṅgha of mendicants, who were silent. He addressed them:
“Mendicants, this assembly seems empty to me now that Sāriputta and Moggallāna have become fully extinguished. When Sāriputta and Moggallāna were alive, my assembly was never empty; I had no concern for any region where they stayed. The Buddhas of the past or the future have pairs of chief disciples who are no better than Sāriputta and Moggallāna were to me.
It’s an incredible and amazing quality of such disciples that they fulfill the Teacher’s instructions and follow his advice. And they’re liked and approved, respected and admired by the four assemblies.
And it’s an incredible and amazing quality of the Realized One that when such a pair of disciples becomes fully extinguished he does not sorrow or lament. How could it possibly be so that what is born, created, conditioned, and liable to wear out should not wear out? That is not possible.
Suppose there was a large tree standing with heartwood, and the largest branches fell off. In the same way, in the great Saṅgha that stands with heartwood, Sāriputta and Moggallāna have become fully extinguished.
How could it possibly be so that what is born, created, conditioned, and liable to wear out should not wear out? That is not possible.
So mendicants, live as your own island, your own refuge, with no other refuge. Let the teaching be your island and your refuge, with no other refuge.
And how does a mendicant do this? It’s when a mendicant meditates by observing an aspect of the body—keen, aware, and mindful, rid of desire and aversion for the world. They meditate observing an aspect of feelings … mind … principles—keen, aware, and mindful, rid of desire and aversion for the world.
That’s how a mendicant lives as their own island, their own refuge, with no other refuge. That’s how the teaching is their island and their refuge, with no other refuge.
Whether now or after I have passed, any who shall live as their own island, their own refuge, with no other refuge; with the teaching as their island and their refuge, with no other refuge—those mendicants of mine who want to train shall be among the best of the best.”
English translation by Bhikkhu Bodhi
On one occasion the Blessed One was dwelling among the Vajjians at Ukkacela on the bank of the river Ganges, together with a great Bhikkhu Saṅgha, not long after Sāriputta and Moggallana had attained final Nibbāna. Now on that occasion the Blessed One was sitting in the open air in the midst of the Bhikkhu Saṅgha.
Then the Blessed One, having surveyed the silent Bhikkhu Saṅgha, addressed the bhikkhus thus:
“Bhikkhus, this assembly appears to me empty now that Sāriputta and Moggallana have attained final Nibbāna. This assembly was not empty for me earlier, and I had no concern for whatever quarter Sāriputta and Moggallana were dwelling in.
“The Arahants, the Perfectly Enlightened Ones, who arose in the past also had just such a supreme pair of disciples as I had in Sāriputta and Moggallana. The Arahants, the Perfectly Enlightened Ones, who will arise in the future will also have just such a supreme pair of disciples as I had in Sāriputta and Moggallana.
“It is wonderful, bhikkhus, on the part of the disciples, it is amazing on the part of the disciples, that they will act in accordance with the Teacher’s instructions and comply with his admonitions, that they will be dear and agreeable to the four assemblies, that they will be revered and esteemed by them. It is wonderful, bhikkhus, on the part of the Tathagata, it is amazing on the part of the Tathagata, that when such a pair of disciples has attained final Nibbāna, there is no sorrow or lamentation in the Tathagata.
“How, bhikkhus, is it to be obtained here: ‘May what is born, come to be, conditioned, and subject to disintegration not disintegrate! ’? That is impossible. It is just as if the largest branches would break off a great tree standing possessed of heartwood: so too, bhikkhus, in the great Bhikkhu Saṅgha standing possessed of heartwood, Sāriputta and Moggallana have attained final Nibbāna. How, bhikkhus, is it to be obtained here: ‘May what is born, come to be, conditioned, and subject to disintegration not disintegrate!’? That is impossible.
“Therefore, bhikkhus, dwell with yourselves as your own island, with yourselves as your own refuge, with no other refuge; dwell with the Dhamma as your island, with the Dhamma as your refuge, with no other refuge … as in §9 … Those bhikkhus, either now or after I am gone, who dwell with themselves as their own island, with themselves as their own refuge, with no other refuge; with the Dhamma as their island, with the Dhamma as their refuge, with no other refuge—it is these bhikkhus who will be for me topmost of those keen on the training.”