อนุสสติ ๖ (๑)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นิโครธาราม เขตนครกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ก็สมัยนั้น เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะ พึ่งหายจากประชวรได้ไม่นาน สมัยนั้น ภิกษุเป็นอันมาก กระทำจีวรกรรมเพื่อพระผู้มีพระภาค ด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาคผู้มีจีวรสำเร็จแล้ว อีก ๓ เดือน ก็จักเสด็จจาริกไป เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะ ได้ทรงทราบข่าวว่า ภิกษุเป็นอันมากกระทำจีวรกรรมเพื่อพระผู้มีพระภาค ด้วยหวังว่าพระผู้มีพระภาคผู้มีจีวรสำเร็จแล้ว อีก ๓ เดือนก็จักเสด็จจาริกไป.
ครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่งในที่สมควร ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต ข้าพระองค์ทราบข่าวดังนี้ว่า ภิกษุเป็นอันมากกระทำจีวรกรรมเพื่อพระผู้มีพระภาค ด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาคมีจีวรสำเร็จแล้ว อีก ๓ เดือนก็จักเสด็จจาริกไป ดังนี้ ภันเต ข้าพระองค์ผู้อยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่ต่างๆ จะพึงอยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่อะไรหนอ.
สาธุ สาธุ มหานามะ การที่ท่านเสด็จเข้ามาหาตถาคตแล้วตรัสถามว่า ภันเต ข้าพระองค์ผู้อยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่ต่างๆ จะพึงอยู่ด้วยธรรมเครื่องอยู่อะไรหนอ ดังนี้ เป็นการสมควรแก่ท่านผู้เป็นกุลบุตร.
มหานามะ กุลบุตรผู้มีศรัทธาย่อมเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ผู้ไม่มีศรัทธาย่อมเป็นผู้ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ปรารภความเพียรย่อมเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ผู้เกียจคร้านย่อมเป็นผู้ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้มีสติตั้งมั่นย่อมเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ผู้มีสติหลงลืมย่อมเป็นผู้ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นย่อมเป็นผู้ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ผู้ทรามปัญญาย่อมเป็นผู้ไม่ประสบความสำเร็จ มหานามะ เมื่อท่านตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล้ว พึงเจริญธรรมอีก ๖ ประการเหล่านี้ให้ยิ่งขึ้นไป.
มหานามะ ในธรรม ๖ ประการนี้ ท่านพึงระลึกถึงตถาคตเนืองๆ ว่า แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม มหานามะ สมัยใดอริยสาวกระลึกถึงตถาคตเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมดำเนินไปตรง มหานามะ อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภตถาคต ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น มหานามะ ท่านพึงเจริญพุทธานุสสตินี้ แม้เมื่อเดินอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อยืนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนั่งอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อกำลังทำงานอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนเบียดบุตรอยู่บนที่นอน.
มหานามะ อีกประการหนึ่ง ท่านพึงระลึกถึงธรรมเนืองๆ ว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว เป็นสิ่งที่จะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน มหานามะ สมัยใด อริยสาวกระลึกถึงธรรมเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมดำเนินไปตรง มหานามะ อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภธรรม ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น มหานามะ ท่านพึงเจริญธัมมานุสสตินี้ แม้เมื่อเดินอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อยืนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนั่งอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อกำลังทำงานอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนเบียดบุตรอยู่บนที่นอน.
มหานามะ อีกประการหนึ่ง ท่านพึงระลึกถึงพระสงฆ์เนืองๆ ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว นั่นคือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวได้ ๘ บุรุษ นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรแก่ของบูชา เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณา เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า มหานามะ สมัยใด อริยสาวกระลึกถึงพระสงฆ์เนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมดำเนินไปตรง มหานามะ อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภพระสงฆ์ ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น มหานามะ ท่านพึงเจริญสังฆานุสสตินี้ แม้เมื่อเดินอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อยืนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนั่งอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อกำลังทำงานอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนเบียดบุตรอยู่บนที่นอน.
มหานามะ อีกประการหนึ่ง ท่านพึงระลึกถึงศีลของตนเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท (จากตัณหา) อันผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกทิฏฐิครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิ มหานามะ สมัยใด อริยสาวกระลึกถึงศีลเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้นย่อมดำเนินไปตรง มหานาม อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภศีล ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น มหานามะ ท่านพึงเจริญสีลานุสสตินี้ แม้เมื่อเดินอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อยืนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนั่งอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อกำลังทำงานอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนเบียดบุตรอยู่บนที่นอน.
มหานามะ อีกประการหนึ่ง ท่านพึงระลึกถึงจาคะของตนเนืองๆ ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ แม้หมู่สัตว์เป็นผู้ถูกมลทิน คือ ความตระหนี่ครอบงำ แต่เราเป็นผู้มีจิตปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีแล้วในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการให้และการแบ่งปัน มหานามะ สมัยใด อริยสาวกระลึกถึงจาคะเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมดำเนินไปตรง มหานาม อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภจาคะ ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น มหานามะ ท่านพึงเจริญจาคานุสสตินี้ แม้เมื่อเดินอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อยืนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนั่งอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อกำลังทำงานอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนเบียดบุตรอยู่บนที่นอน.
มหานามะ อีกประการหนึ่ง ท่านพึงระลึกถึงเทวดาทั้งหลายเนืองๆ ว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกามีอยู่ เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาชั้นยามามีอยู่ เทวดาชั้นดุสิตมีอยู่ เทวดาชั้นนิมมานรดีมีอยู่ เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีมีอยู่ เทวดาชั้นพรหมกายิกามีอยู่ เทวดาชั้นที่สูงขึ้นไปกว่านั้นก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ ถึงเราก็เป็นผู้มีศรัทธาเช่นนั้น เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ ถึงเราก็เป็นผู้มีศีลเช่นนั้น เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ ถึงเราก็เป็นผู้มีสุตะเช่นนั้น เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ ถึงเราก็เป็นผู้มีจาคะเช่นนั้น เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ ถึงเราก็เป็นผู้มีปัญญาเช่นนั้น มหานามะ สมัยใด อริยสาวกระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนและของเทวดาเหล่านั้นเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมดำเนินไปตรง มหานามะ อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภเทวดาทั้งหลาย ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น มหานามะ ท่านพึงเจริญเทวตานุสสตินี้ แม้เมื่อเดินอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อยืนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนั่งอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อกำลังทำงานอยู่ พึงเจริญแม้เมื่อนอนเบียดบุตรอยู่บนที่นอน.
-บาลี เอกาทกส. อํ. 24/360/219.
https://84000.org/tipitaka/pali/?24//360,
https://etipitaka.com/read/pali/21/161
English translation by Bhikkhu Sujato
At one time the Buddha was staying in the land of the Sakyans, near Kapilavatthu in the Banyan Tree Monastery. Now at that time Mahānāma the Sakyan had recently recovered from an illness. At that time several mendicants were making a robe for the Buddha …
Mahānāma the Sakyan heard about this. He went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him:
“Sir, I have heard that several mendicants are making a robe for the Buddha, thinking that when his robe was finished and the three months of the rains residence had passed the Buddha would set out wandering. Now, we spend our life in various ways. Which of these should we practice?”
“Good, good, Mahānāma! It’s appropriate that gentlemen such as you come to me and ask: ‘We spend our life in various ways. Which of these should we practice?’ The faithful succeed, not the faithless. The energetic succeed, not the lazy. The mindful succeed, not the unmindful. Those with immersion succeed, not those without immersion. The wise succeed, not the witless. When you’re grounded on these five things, go on to develop six further things.
Firstly, you should recollect the Realized One: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’ When a noble disciple recollects the Realized One their mind is not full of greed, hate, and delusion. At that time their mind is unswerving, based on the Realized One. A noble disciple whose mind is unswerving finds inspiration in the meaning and the teaching, and finds joy connected with the teaching. When they’re joyful, rapture springs up. When the mind is full of rapture, the body becomes tranquil. When the body is tranquil, they feel bliss. And when they’re blissful, the mind becomes immersed in samādhi. You should develop this recollection of the Buddha while walking, standing, sitting, lying down, while working, and while at home with your children.
Furthermore, you should recollect the teaching: ‘The teaching is well explained by the Buddha—visible in this very life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves.’ When a noble disciple recollects the teaching their mind is not full of greed, hate, and delusion. …
Furthermore, you should recollect the Saṅgha: ‘The Saṅgha of the Buddha’s disciples is practicing the way that’s good, direct, methodical, and proper. It consists of the four pairs, the eight individuals. This is the Saṅgha of the Buddha’s disciples that is worthy of offerings dedicated to the gods, worthy of hospitality, worthy of a religious donation, worthy of greeting with joined palms, and is the supreme field of merit for the world.’ When a noble disciple recollects the Saṅgha their mind is not full of greed, hate, and delusion. …
Furthermore, you should recollect your own ethical conduct, which is unbroken, impeccable, spotless, and unmarred, liberating, praised by sensible people, not mistaken, and leading to immersion. When a noble disciple recollects their ethical conduct their mind is not full of greed, hate, and delusion. …
Furthermore, you should recollect your own generosity: ‘I’m so fortunate, so very fortunate. Among people with hearts full of the stain of stinginess I live at home rid of stinginess, freely generous, open-handed, loving to let go, committed to charity, loving to give and to share.’ When a noble disciple recollects their own generosity their mind is not full of greed, hate, and delusion. …
Furthermore, you should recollect the deities: ‘There are the Gods of the Four Great Kings, the Gods of the Thirty-Three, the Gods of Yama, the Joyful Gods, the Gods Who Love to Create, the Gods Who Control the Creations of Others, the Gods of Brahmā’s Host, and gods even higher than these. When those deities passed away from here, they were reborn there because of their faith, ethics, learning, generosity, and wisdom. I, too, have the same kind of faith, ethics, learning, generosity, and wisdom.’ When a noble disciple recollects the faith, ethics, learning, generosity, and wisdom of both themselves and the deities their mind is not full of greed, hate, and delusion. At that time their mind is unswerving, based on the deities. A noble disciple whose mind is unswerving finds inspiration in the meaning and the teaching, and finds joy connected with the teaching. When they’re joyful, rapture springs up. When the mind is full of rapture, the body becomes tranquil. When the body is tranquil, they feel bliss. And when they’re blissful, the mind becomes immersed in samādhi. You should develop this recollection of the deities while walking, standing, sitting, lying down, while working, and while at home with your children.”
English translation by Thanissaro Bhikkhu
I have heard that on one occasion the Blessed One was staying among the Sakyans at Kapilavatthu in the Banyan Park. Now at that time Mahānāma the Sakyan had recovered from being ill, was not long recovered from his illness. And at that time many monks were at work making robes for the Blessed One, (thinking,) “When the robes are finished, at the end of the three months (of the Rains retreat), the Blessed One will set out wandering.” Mahānāma the Sakyan heard that many monks were at work making robes for the Blessed One, (thinking,) “When the robes are finished, at the end of the three months, the Blessed One will set out wandering.” So he approached the Blessed One and, on arrival, having bowed down, sat to one side. As he was sitting there he said to the Blessed One: “I have heard that many monks are at work making robes for the Blessed One, (thinking,) ‘When the robes are finished, at the end of the three months, the Blessed One will set out wandering.’ For those of us living by means of various dwelling places (for the mind), by means of which dwelling place should we live?”
“Excellent, Mahānāma, excellent! It is fitting for clansmen like you to approach the Tathāgata and ask, ‘For those of us living by means of various dwelling places (for the mind), by means of which dwelling place should we live?’
“One who is aroused to practice is one of conviction, not without conviction. One aroused to practice is one with persistence aroused, not lazy. One aroused to practice is one of established mindfulness, not muddled mindfulness. One aroused to practice is centered in concentration, not uncentered. One aroused to practice is discerning, not undiscerning.
“Established in these five qualities, you should further develop six qualities:
[1] “There is the case where you recollect the Tathāgata: ‘Indeed, the Blessed One is worthy & rightly self-awakened, consummate in clear-knowing & conduct, well-gone, an expert with regard to the cosmos, unexcelled trainer of people fit to be tamed, teacher of devas & human beings, awakened, blessed.’ At any time when a disciple of the noble ones is recollecting the Tathāgata, his mind is not overcome with passion, not overcome with aversion, not overcome with delusion. His mind heads straight, based on the Tathāgata. And when the mind is headed straight, the disciple of the noble ones gains a sense of the goal, gains a sense of the Dhamma, gains joy connected with the Dhamma. In one who is joyful, rapture arises. In one whose mind is enraptured, the body grows calm. One whose body is calmed experiences ease. In one at ease, the mind becomes concentrated.
“Mahānāma, you should develop this recollection of the Buddha while you are walking, while you are standing, while you are sitting, while you are lying down, while you are busy at work, while you are resting in your home crowded with children.
[2] “Then there is the case where you recollect the Dhamma: ‘The Dhamma is well taught by the Blessed One, to be seen here & now, timeless, inviting verification, pertinent, to be experienced by the observant for themselves.’ At any time when a disciple of the noble ones is recollecting the Dhamma, his mind is not overcome with passion, not overcome with aversion, not overcome with delusion. His mind heads straight, based on the Dhamma. And when the mind is headed straight, the disciple of the noble ones gains a sense of the goal, gains a sense of the Dhamma, gains joy connected with the Dhamma. In one who is joyful, rapture arises. In one whose mind is enraptured, the body grows calm. One whose body is calmed experiences ease. In one at ease, the mind becomes concentrated.
“Mahānāma, you should develop this recollection of the Dhamma while you are walking, while you are standing, while you are sitting, while you are lying down, while you are busy at work, while you are resting in your home crowded with children.
[3] “Then there is the case where you recollect the Saṅgha: ‘The Saṅgha of the Blessed One’s disciples who have practiced well…who have practiced straight-forwardly…who have practiced methodically…who have practiced masterfully—in other words, the four types (of noble disciples) when taken as pairs, the eight when taken as individual types—they are the Saṅgha of the Blessed One’s disciples: deserving of gifts, deserving of hospitality, deserving of offerings, deserving of respect, the incomparable field of merit for the world.’ At any time when a disciple of the noble ones is recollecting the Saṅgha, his mind is not overcome with passion, not overcome with aversion, not overcome with delusion. His mind heads straight, based on the Saṅgha. And when the mind is headed straight, the disciple of the noble ones gains a sense of the goal, gains a sense of the Dhamma, gains joy connected with the Dhamma. In one who is joyful, rapture arises. In one whose mind is enraptured, the body grows calm. One whose body is calmed experiences ease. In one at ease, the mind becomes concentrated.
“Mahānāma, you should develop this recollection of the Saṅgha while you are walking, while you are standing, while you are sitting, while you are lying down, while you are busy at work, while you are resting in your home crowded with children.
[4] “Then there is the case where you recollect your own virtues: ‘(They are) untorn, unbroken, unspotted, unsplattered, liberating, praised by the observant, ungrasped at, conducive to concentration.’ At any time when a disciple of the noble ones is recollecting virtue, his mind is not overcome with passion, not overcome with aversion, not overcome with delusion. His mind heads straight, based on virtue. And when the mind is headed straight, the disciple of the noble ones gains a sense of the goal, gains a sense of the Dhamma, gains joy connected with the Dhamma. In one who is joyful, rapture arises. In one whose mind is enraptured, the body grows calm. One whose body is calmed experiences ease. In one at ease, the mind becomes concentrated.
“Mahānāma, you should develop this recollection of virtue while you are walking, while you are standing, while you are sitting, while you are lying down, while you are busy at work, while you are resting in your home crowded with children.
[5] “Then there is the case where you recollect your own generosity: ‘It is a gain, a great gain for me, that—among people overcome with the stain of possessiveness—I live at home, my awareness cleansed of the stain of possessiveness, freely generous, openhanded, delighting in being magnanimous, responsive to requests, delighting in the distribution of alms.’ At any time when a disciple of the noble ones is recollecting generosity, his mind is not overcome with passion, not overcome with aversion, not overcome with delusion. His mind heads straight, based on generosity. And when the mind is headed straight, the disciple of the noble ones gains a sense of the goal, gains a sense of the Dhamma, gains joy connected with the Dhamma. In one who is joyful, rapture arises. In one whose mind is enraptured, the body grows calm. One whose body is calmed experiences ease. In one at ease, the mind becomes concentrated.
“Mahānāma, you should develop this recollection of generosity while you are walking, while you are standing, while you are sitting, while you are lying down, while you are busy at work, while you are resting in your home crowded with children.
[6] “Then you should recollect the devas: ‘There are the Devas of the Four Great Kings, the Devas of the Thirty-three, the Devas of the Hours, the Contented Devas, the Devas Delighting in Creation, the Devas Wielding Power over the Creations of Others, the Devas of Brahmā’s retinue, the devas beyond them. Whatever conviction they were endowed with, so that—when falling away from this life—they re-arose there, the same sort of conviction is present in me as well. Whatever virtue they were endowed with, so that—when falling away from this life—they re-arose there, the same sort of virtue is present in me as well.