เหตุให้สมาธิเคลื่อน
… สาธุ สาธุ อนุรุทธะทั้งหลาย อนุรุทธะทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งตนไปแล้ว (ในธรรม) อยู่อย่างนี้ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่ผาสุกอย่างอื่น ที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว มีอยู่ไหม.1
ภันเต ในเรื่องนี้ พวกข้าพระองค์ เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีส่งตนไปแล้วในธรรมอยู่ ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปทั้งหลาย ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของพวกข้าพระองค์ได้หายไป พวกข้าพระองค์ยังไม่แทงตลอดนิมิต2นั้น.
อนุรุทธะทั้งหลาย นิมิตนั้นแหละ พวกเธอพึงแทงตลอดเถิด แม้เราเมื่อครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปทั้งหลายได้ (เหมือนกัน) ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป เราจึงมีความคิดอย่างนี้ว่า อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ที่ทำให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า วิจิกิจฉา (ความลังเล, ความสงสัย) เกิดขึ้นแล้วแก่เราแล้ว เพราะวิจิกิจฉาเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉาเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป เราจึงมีความความคิดอย่างนี้ว่า อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ที่ทำให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า อมนสิการ (การไม่ใส่ใจ) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะอมนสิการเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ให้ไม่วิจิกิจฉา และอมนสิการเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ถีนมิทธะ (ความง่วง, ความหดหู่) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะถีนมิทธะเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉา อมนสิการ และถีนมิทธะเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ความหวาดเสียว (ฉัมภิตัตตะ) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความหวาดเสียวเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป อนุรุทธะทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เกิดมีคนปองร้ายเขาขึ้นที่สองข้างทาง เขาจึงเกิดความหวาดเสียว เพราะถูกคนปองร้ายนั้นเป็นเหตุ ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ความหวาดเสียวเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความหวาดเสียวเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ และความหวาดเสียวเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ความตื่นเต้น [เพราะดีใจ (อุพพิละ)] เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความตื่นเต้น (เพราะดีใจ) เป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป อนุรุทธะทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษแสวงหาแหล่งขุมทรัพย์เพียงแห่งเดียว แต่กลับพบแหล่งขุมทรัพย์เข้า ๕ แห่งในคราวเดียวกัน เขาจึงเกิดความตื่นเต้น เพราะพบแหล่งขุมทรัพย์ ๕ แห่งนั้นเป็นเหตุ ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ความตื่นเต้นเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความตื่นเต้นเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว และความตื่นเต้นเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ความชั่วหยาบ (ทุฏฐุลละ) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความชั่วหยาบเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น และความชั่วหยาบเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ความเพียรที่ปรารภมากเกินไป (อัจจารัทธวิริยะ) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความเพียรที่ปรารภมากเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป อนุรุทธะทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษเอามือทั้ง ๒ จับนกคุ่มไว้แน่น นกคุ่มนั้นต้องถึงความตายในมือนั้นเอง ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ความเพียรที่ปรารภมากเกินไปเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความเพียรที่ปรารภมากเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ และความเพียรที่ปรารภมากเกินไปเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป (อติลีนวิริยะ) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป อนุรุทธะทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษจับนกคุ่มหลวมๆ นกคุ่มนั้นก็จะบินไปจากมือเขาได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่ปรารภมากเกินไป และความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ความกระสันอยาก (อภิชัปปา) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความกระสันอยากเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่าง และการเห็นรูปจึงหายไป เราจักกระทำโดยประการที่ให้ไม่วิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่ปรารภมากเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป และความกระสันอยากเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ (นานัตตสัญญา) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ เป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป ดังนั้น เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่ปรารภมากเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ความกระสันอยาก และความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ก็ย่อมจำแสงสว่างและการเห็นรูปได้ ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นของเราได้หายไป … อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า ความเพ่งต่อรูปทั้งหลายจนเกินไป (รูปานัง อตินิชฌายิตัตตะ) เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เพราะความเพ่งต่อรูปทั้งหลายจนเกินไป สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไป ดังนั้น เราจักกระทำโดยประการที่ไม่ให้วิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่ปรารภมากเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ความกระสันอยาก ความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ และความเพ่งต่อรูปทั้งหลายจนเกินไปเกิดขึ้นแก่เราได้อีก.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นรู้อย่างนี้ว่า วิจิกิจฉาเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละวิจิกิจฉาอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่า อมนสิการเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละอมนสิการอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่าถีนมิทธะเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละถีนมิทธะอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่า ความหวาดเสียวเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละความหวาดเสียวอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่า ความตื่นเต้นเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละความตื่นเต้นอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่า ความชั่วหยาบเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละความชั่วหยาบอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่า ความเพียรที่ปรารภมากเกินไปเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละความเพียรที่ปรารภมาเกินไปอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่า ความกระสันอยากเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละความกระสันอยากอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่า ความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ เป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ อันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้ รู้อย่างนี้ว่าความเพ่งต่อรูปทั้งหลายจนเกินไป เป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วย่อมละความเพ่งต่อรูปทั้งหลายจนเกินไป อันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตได้
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ย่อมจำแสงสว่างได้อย่างเดียวแต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปได้อย่างเดียว แต่จำแสงสว่างไม่ได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เรานั้นจึงเกิดความคิดขึ้นอย่างนี้ว่า อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เราจำแสงสว่างได้อย่างเดียวแต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปได้อย่างเดียว แต่จำแสงสว่างไม่ได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า สมัยใดเราไม่ใส่ใจนิมิตคือรูป ใส่ใจแต่นิมิตคือแสงสว่าง สมัยนั้นเราย่อมจำแสงสว่างอย่างเดียว แต่ไม่เห็นรูป ส่วนสมัยใดเราไม่ใส่ใจนิมิตคือแสงสว่าง ใส่ใจแต่นิมิตคือรูป สมัยนั้นเราย่อมเห็นรูปอย่างเดียว แต่ไม่จำแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมจำแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และจำแสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้ ก็เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เราจึงมีความคิดอย่างนี้ว่า อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ให้เราจำแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และให้เราจำแสงสว่างอย่างหาประมาณไม่ได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณไม่ได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า สมัยใด เรามีสมาธินิดหน่อย สมัยนั้น เราก็มีจักษุนิดหน่อย ด้วยจักษุนิดหน่อย เรานั้นจึงจำแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย ส่วนสมัยใด เรามีสมาธิหาประมาณไม่ได้ สมัยนั้น เราก็มีจักษุหาประมาณไม่ได้ ด้วยจักษุหาประมาณไม่ได้ เรานั้นจึงจำแสงสว่างหาประมาณไม่ได้ และเห็นรูปหาประมาณไม่ได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง.
อนุรุทธะทั้งหลาย ในกาลใด เรารู้อย่างนี้ว่า วิจิกิจฉาเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละวิจิกิจฉาอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่า อมนสิการเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละอมนสิการอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่าถีนมิทธะเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละถีนมิทธะอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่า ความหวาดเสียวเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละความหวาดเสียวอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตแสียได้ รู้อย่างนี้ว่า ความตื่นเต้นเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละความตื่นเต้นอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่า ความชั่วหยาบเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละความชั่วหยาบอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่า ความเพียรที่ปรารภมากเกินไปเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละความเพียรที่ปรารภมาเกินไปอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่า ความกระสันอยากเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละความกระสันอยากอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่า ความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ เป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ อันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ รู้อย่างนี้ว่าความเพ่งต่อรูปทั้งหลายจนเกินไปเป็นอุปกิเลสแห่งจิต แล้วละความเพ่งต่อรูปทั้งหลายจนเกินไปอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้ อนุรุทธะทั้งหลาย ในกาลนั้น เราได้เกิดความรู้ขึ้นอย่างนี้ว่า อุปกิเลสแห่งจิตทั้งหลายเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เราละได้แล้ว ดังนั้น เราจึงเจริญสมาธิโดยส่วน ๓ ได้ในบัดนี้.
อนุรุทธะทั้งหลาย เรานั้นได้เจริญสมาธิมีวิตกมีวิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีวิตก มีแต่วิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิมีปีติบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีปีติบ้าง ได้เจริญสมาธิสประกอบด้วยสุขบ้าง ได้เจริญสมาธิประกอบด้วยอุเบกขาบ้าง.
อนุรุทธะทั้งหลาย ในกาลใด สมาธิชนิดที่มีวิตกมีวิจารบ้าง สมาธิชนิดที่ไม่มีวิตก มีแต่วิจารบ้าง สมาธิชนิดที่ไม่มีวิตกไม่มีวิจารบ้าง สมาธิชนิดที่มีปีติบ้าง สมาธิชนิดที่ไม่มีปีติบ้าง สมาธิชนิดที่ประกอบด้วยสุขบ้าง สมาธิชนิดที่ประกอบด้วยอุเบกขาบ้าง เป็นอันเราเจริญแล้ว ในกาลนั้น ญาณทัสสนะจึงได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ความเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไปย่อมไม่มีอีก ดังนี้.
-บาลี อุปริ. ม. 14/30/452.
https://84000.org/tipitaka/pali/?14//30,
https://etipitaka.com/read/pali/14/30
1 เนื้อหาช่วงต้นของพระสูตรนี้ บางส่วนมีความคล้ายคลึงกับ จูฬโคสิงคสาลสูตร. https://www.dhammainyard.com/?p=6188
2 นิมิต = ครื่องหมาย, นิมิต, สิ่งบอกเหตุ, การทำนาย, รูปร่างภายนอก, ตำหนิ (ของร่างกาย), ลักษณะ, คุณสมบัติ, ปรากฏการณ์.
English translation by Bhikkhu Sujato
… “Good, good, Anuruddha and friends! But as you live diligently like this, have you achieved any superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones, a meditation at ease?”
“Well, sir, while meditating diligent, keen, and resolute, we perceive both light and vision of forms. But before long the light and the vision of forms vanish. We haven’t worked out the reason for that.”
“Well, you should work out the reason for that. Before my awakening—when I was still unawakened but intent on awakening—I too perceived both light and vision of forms. But before long my light and vision of forms vanished. It occurred to me: ‘What’s the cause, what’s the reason why my light and vision of forms vanish?’ It occurred to me: ‘Doubt arose in me, and because of that my immersion fell away. When immersion falls away, the light and vision of forms vanish. I’ll make sure that doubt will not arise in me again.’
While meditating diligent, keen, and resolute, I perceived both light and vision of forms. But before long my light and vision of forms vanished. It occurred to me: ‘What’s the cause, what’s the reason why my light and vision of forms vanish?’ It occurred to me: ‘Loss of focus arose in me, and because of that my immersion fell away. When immersion falls away, the light and vision of forms vanish. I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus will arise in me again.’
While meditating … ‘Dullness and drowsiness arose in me … I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness will arise in me again.’
While meditating … ‘Terror arose in me, and because of that my immersion fell away. When immersion falls away, the light and vision of forms vanish. Suppose a person was traveling along a road, and killers were to spring out at them from both sides. They’d feel terrified because of that. In the same way, terror arose in me … I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness nor terror will arise in me again.’
While meditating … ‘Excitement arose in me, and because of that my immersion fell away. When immersion falls away, the light and vision of forms vanish. Suppose a person was looking for an entrance to a hidden treasure. And all at once they’d come across five entrances! They’d feel excited because of that. In the same way, excitement arose in me … I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness nor terror nor excitement will arise in me again.’
While meditating … ‘Discomfort arose in me … I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness nor terror nor excitement nor discomfort will arise in me again.’
While meditating … ‘Excessive energy arose in me, and because of that my immersion fell away. When immersion falls away, the light and vision of forms vanish. Suppose a person was to grip a quail too tightly in their hands—it would die right there. I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness nor terror nor excitement nor discomfort nor excessive energy will arise in me again.’
While meditating … ‘Overly lax energy arose in me, and because of that my immersion fell away. When immersion falls away, the light and vision of forms vanish. Suppose a person was to grip a quail too loosely—it would fly out of their hands. I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness nor terror nor excitement nor discomfort nor excessive energy nor overly lax energy will arise in me again.’
While meditating … ‘Longing arose in me … I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness nor terror nor excitement nor discomfort nor excessive energy nor overly lax energy nor longing will arise in me again.’
While meditating … ‘Perceptions of diversity arose in me … I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness nor terror nor excitement nor discomfort nor excessive energy nor overly lax energy nor longing nor perception of diversity will arise in me again.’
While meditating diligent, keen, and resolute, I perceived both light and vision of forms. But before long my light and vision of forms vanished. It occurred to me: ‘What’s the cause, what’s the reason why my light and vision of forms vanish?’ It occurred to me: ‘Excessive concentration on forms arose in me, and because of that my immersion fell away. When immersion falls away, the light and vision of forms vanish. I’ll make sure that neither doubt nor loss of focus nor dullness and drowsiness nor terror nor excitement nor discomfort nor excessive energy nor overly lax energy nor longing nor perception of diversity nor excessive concentration on forms will arise in me again.’
When I understood that doubt is a corruption of the mind, I gave it up. When I understood that loss of focus, dullness and drowsiness, terror, excitement, discomfort, excessive energy, overly lax energy, longing, perception of diversity, and excessive concentration on forms are corruptions of the mind, I gave them up.
While meditating diligent, keen, and resolute, I perceived light but did not see forms, or I saw forms, but did not see light. And this went on for a whole night, a whole day, even a whole night and day. I thought: ‘What is the cause, what is the reason for this?’ It occurred to me: ‘When I don’t focus on the foundation of the forms, but focus on the foundation of the light, then I perceive light and do not see forms. But when I don’t focus on the foundation of the light, but focus on the foundation of the forms, then I see forms and do not perceive light. And this goes on for a whole night, a whole day, even a whole night and day.’
While meditating diligent, keen, and resolute, I perceived limited light and saw limited forms, or I perceived limitless light and saw limitless forms. And this went on for a whole night, a whole day, even a whole night and day. I thought: ‘What is the cause, what is the reason for this?’ It occurred to me: ‘When my immersion is limited, then my vision is limited, and with limited vision I perceive limited light and see limited forms. But when my immersion is limitless, then my vision is limitless, and with limitless vision I perceive limitless light and see limitless forms. And this goes on for a whole night, a whole day, even a whole night and day.’
After understanding that doubt, loss of focus, dullness and drowsiness, terror, excitement, discomfort, excessive energy, overly lax energy, longing, perception of diversity, and excessive concentration on forms are corruptions of the mind, I had given them up.
I thought: ‘I’ve given up my mental corruptions. Now let me develop immersion in three ways.’ I developed immersion while placing the mind and keeping it connected; without placing the mind, but just keeping it connected; without placing the mind or keeping it connected; with rapture; without rapture; with pleasure; with equanimity.
When I had developed immersion in these ways, the knowledge and vision arose in me: ‘My freedom is unshakable; this is my last rebirth; now there are no more future lives.’”
English translation by Nyanamoli Thera
… “Good, good, Anuruddha; but while dwelling diligent, ardent and self-controlled in this way, have you attained as a comfortable abiding any distinction worthy of a Noble One’s knowledge and vision higher than the human dhamma?”
“As to that, venerable sir, as we dwell here diligent, ardent and self-controlled, we perceive both illumination and the vision of forms but that illumination of ours soon disappears and so does the vision of forms and we have not penetrated the sign, the reason for what.”
“Still, Anuruddha, the sign for that can be penetrated by you. I too, before my enlightenment, while I was still an unenlightened Bodhisatta, perceived both illumination and the vision of forms. But that illumination of mine and the vision of forms soon disappeared. I thought thus: ‘What is the reason, what is the condition, why this illumination of mine and the vision of forms disappears?’ I thought thus: ‘Uncertainty arose in me, and owing to the uncertainty my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that uncertainty does not arise in me again.’
“As I dwelt diligent, ardent and self-controlled I perceived both illumination and vision of forms. But that illumination of mine and the vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason, what is the condition, why this illumination of mine and the vision of forms disappears?’ I thought thus: ‘Inattention arose in me, and owing to the inattention my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty arises in me again nor inattention.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Lethargy and drowsiness arose in me, and owing to the lethargy and drowsiness my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness arise in me again.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Alarm arose in me, and owing to the alarm my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms.’ Suppose, Anuruddha, a man set out on a journey and murderers leapt out on each side of him, then alarm would arise in him on that account. So too, I thought thus: ‘Alarm arose in me and owing to the alarm my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness nor alarm arise in me again.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Elation arose in me, and owing to the elation my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms.’ Suppose, Anuruddha, a man seeking a hidden treasure found at once five hidden treasures, then elation would arise in him on that account. So too I thought thus: ‘Elation arose in me, and owing to the elation my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness nor alarm nor elation arise in me again.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Inertia arose in me, and owing to the inertia my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness nor alarm nor elation nor inertia arise in me again.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Too active an energy arose in me, and owing to too active an energy my concentration died away. When the concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms.’ Suppose, Anuruddha, a man gripped a quail tightly with both hands, it would die then and there. So too, I thought thus: ‘Too active an energy arose in me, and owing to too active an energy my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness nor alarm nor elation nor inertia nor too active an energy arise in me again.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Too sluggish an energy arose in me, and owing to too sluggish an energy my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms.’ Suppose Anuruddha, a man gripped a quail loosely, it would jump out of his hand. So too, I thought thus: ‘Too sluggish an energy arose in me, and owing to too sluggish an energy my concentration died away. When concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness nor alarm nor elation nor inertia nor too active an energy nor too sluggish and energy arise in me again.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Longing arose in me, and owing to longing my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness nor alarm nor elation nor inertia nor too active an energy nor too sluggish an energy nor longing arise in me again.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Perception of difference arose in me, and owing to perception of difference my concentration died away; when concentration died away, the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness nor alarm nor elation nor inertia nor too active an energy nor too sluggish an energy nor longing nor perception of difference arise in me again.’
“As I dwelt diligent… vision of forms disappeared.
“I thought thus: ‘What is the reason… disappears?’ I thought thus: ‘Too much meditating upon forms arose in me and owing to too much meditating upon forms my concentration died away; when concentration died away the illumination disappeared and so did the vision of forms. I shall so act that neither uncertainty nor inattention nor lethargy and drowsiness nor alarm nor elation nor inertia nor too active an energy nor too sluggish an energy nor longing nor perception of difference nor too much meditating upon forms arise in me again.’
“When I knew thus that uncertainty is an imperfection of mind, I abandoned it. Knowing that inattention… lethargy and drowsiness… alarm… elation… inertia… too active an energy… too sluggish an energy… longing… perception of difference… too much meditating upon forms is an imperfection of mind, I abandoned it.
“While I dwelt diligent, ardent and self-controlled I perceived illumination and I did not see forms; I saw forms and I did not perceive illumination, even for a whole night and a whole day and a whole night and day. I thought thus: ‘What is the reason, what is the condition, for this?’ I thought thus: ‘On the occasion on which I give attention to the sign of illumination without giving attention to the sign of form, on that occasion I perceive illumination and I do not see forms. And on that occasion on which I give attention to the sign of forms without giving attention to the sign of illumination, on that occasion I see forms and I do not perceive illumination; even for a whole night and a whole day and a whole night and day.’
“While I dwelt diligent, ardent and self-controlled, perceived limited illumination and I saw limited forms, I perceived measureless illumination and I saw measureless forms, even for a whole night and a whole day and a whole night and day. I thought thus: ‘What is the reason, what is the condition for this?’ I thought thus: ‘On the occasion on which my concentration is limited, on that occasion my eye is limited, and with a limited eye I perceive limited illumination and I see limited forms and on the occasion on which my concentration is measureless, on that occasion my eye is measureless, and with measureless eye I see measureless forms; even for a whole night and a whole day and a whole night and day.’
“As soon as, by my knowing thus that uncertainty is an imperfection of mind, it had been abandoned in me; as soon as by my knowing thus that inattention… lethargy and drowsiness… alarm… elation… inertia … too active an energy… too sluggish an energy… longing… perception of difference… as soon as by my knowing thus that too much meditating on forms is an imperfection of mind, it had been abandoned in me.
“Thereupon I thought thus: ‘I have abandoned those imperfections in my mind. Now I shall develop concentration in three ways.’
“I developed concentration with initial application and sustained application: I developed it without initial application and with only sustained application, I developed it without initial application and without sustained application; I developed it with happiness; I developed it without happiness; I developed it accompanied by enjoyment; I developed it accompanied by equanimity.
“As soon as I developed concentration thus, knowledge and vision arose in me: ‘My deliverance is unassailable, this is the last birth, there is no renewal of being now.’”