ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสน
ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนแก่พวกเธอ เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาท (ผู้รับผล) แห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปกติฆ่าสัตว์มีชีวิต หยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติ (การเข้าถึงภพ) ของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของไม่ได้ให้ คือ ถือเอาวัตถุอันเป็นอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่าก็ตาม ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปกติประพฤติผิดในกาม คือ ประพฤติผิดในหญิงที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษา พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา หรือธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงที่เขาหมั้นไว้ด้วยการคล้องพวงมาลัย เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปกติพูดเท็จ คือ เขาอยู่ในสภาก็ดี อยู่ในบริษัทก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ชนก็ดี อยู่ในท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น ดังนี้ บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวไม่เห็น เพราะเหตุแห่งตนเอง เพราะเหตุแห่งผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อยใดๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปกติพูดส่อเสียด คือ ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกัน หรือทำคนที่แตกกันแล้วให้แตกกันยิ่งขึ้น เป็นผู้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในความแตกแยกกัน เป็นผู้กล่าววาจาที่ทำให้แตกแยกกัน เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปกติพูดคำหยาบ คือ กล่าววาจาที่หยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ดต่อผู้อื่น กระทบกระเทียบผู้อื่น แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ปกปกติพูดเพ้อเจ้อ คือ เป็นผู้พูดไม่ถูกกาล พูดคำที่ไม่เป็นจริง พูดสิ่งไม่มีประโยชน์ พูดไม่อิงธรรม พูดไม่อิงวินัย คำพูดที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้างอิง ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีมีอภิชฌา (ความเพ่งเล็งทรัพย์) คือ เป็นผู้เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่นว่า โอหนอ สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา ดังนี้ เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้เป็นผู้มีจิตพยาบาท คือ มีความดำริแห่งใจอันเป็นไปในทางประทุษร้ายว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงถูกฆ่า จงถูกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีชีวิตอยู่เลย ดังนี้ เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) คือ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามไม่มี ดังนี้ เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสือกกระสนด้วยวาจา กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติของเขาคด ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่ากำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดเดรัจฉานที่มีปกติกระเสือกกระสนเป็นอย่างไร คือ งู แมงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาท (ผู้รับผล) แห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ละการฆ่าสัตว์มีชีวิต เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต คือ วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดู มีความกรุณา หวังความเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของเขาตรง วจีกรรมของเขาตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ คือ ไม่ถือเอาวัตถุอันเป็นอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่าก็ตามที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม คือ เว้นจากการประพฤติผิดในหญิงที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษา พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา หรือธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงที่เขาหมั้นไว้ด้วยการคล้องพวงมาลัย ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ เขาอยู่ในสภาก็ดี อยู่ในบริษัทก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ชนก็ดี อยู่ในท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น ดังนี้ บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อยใดๆ ก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ละการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด คือ ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่นำไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่นำมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับสามัคคีกัน ส่งเสริมคนที่สามัคคีกันอยู่ให้สามัคคีกันยิ่งขึ้น เป็นผู้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในความสามัคคีกัน เป็นผู้กล่าวแต่วาจาที่ทำให้คนสามัคคีกัน เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ละการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากพูดคำหยาบ คือ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่รักใคร่ที่พอใจของมหาชน เป็นผู้กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่ เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ละการพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคำที่มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ไม่มีอภิชฌา คือ เป็นผู้ไม่เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่นว่า โอหนอ สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา ดังนี้ เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ไม่มีจิตพยาบาท คือ มีความดำริแห่งใจอันไม่ไปทางประทุษร้ายว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีความทุกข์ มีความสุข รักษาตนอยู่เถิด ดังนี้ เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นถูกต้อง) คือ มีความเห็นไม่วิปริตว่า ทานที่ให้แล้วมี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วมี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วมี (ผล) ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี โลกนี้มี โลกอื่นมี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามก็มี ดังนี้ เขาไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ไม่กระเสือกกระสนด้วยวาจา ไม่กระเสือกกระสนด้วยใจ กายกรรมของตรง วจีกรรมของตรง มโนกรรมของเขาตรง คติของเขาตรง อุปบัติของเขาตรง ภิกษุทั้งหลาย สำหรับผู้มีคติตรง มีอุปบัติตรงนั้น เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าเกิดในตระกูลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล สกุลคหบดีมหาศาล อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก มีทรัพย์และธัญญาหารอย่างเพียงพอ ภิกษุทั้งหลาย การอุปบัติของภูตสัตว์ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ ภูตสัตว์นั้นย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาท (ผู้รับผล) แห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น ภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสน เป็นอย่างนี้แล.
-บาลี ทสก. อํ. 24/309/193.
https://84000.org/tipitaka/pali/?24//309
https://etipitaka.com/read/pali/24/309
English translation by Bhikkhu Sujato
“Mendicants, I will teach you an exposition of the teaching on creepy creatures. Listen and pay close attention, I will speak.”
“Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:
“What is the exposition of the teaching on creepy creatures? Sentient beings are the owners of their deeds and heir to their deeds. Deeds are their womb, their relative, and their refuge. They shall be the heir of whatever deeds they do, whether good or bad.
Take a certain person who kills living creatures. They’re violent, bloody-handed, a hardened killer, merciless to living beings. They’re creepy in body, speech, and mind. Doing crooked deeds by way of body, speech, and mind, their destiny and rebirth are crooked.
Someone whose destiny and rebirth is crooked is reborn in one of two places, I say: in an exclusively painful hell, or among the species of creepy animals. And what are the species of creepy animals? Snakes, scorpions, centipedes, mongooses, cats, mice, owls, or whatever other species of animal that creep away when they see humans. This is how a being is born from a being. For your deeds determine your rebirth, and when you’re reborn contacts strike you. This is why I say that sentient beings are heirs to their deeds.
Take someone else who steals … commits sexual misconduct … lies … speaks divisively … speaks harshly … indulges in talking nonsense … is covetous … has cruel intentions … has wrong view … They’re creepy in body, speech, and mind. Doing crooked deeds by way of body, speech, and mind, their destiny and rebirth are crooked.
Someone whose destiny and rebirth is crooked is reborn in one of two places, I say: in an exclusively painful hell, or among the species of creepy animals. And what are the species of creepy animals? Snakes, scorpions, centipedes, mongooses, cats, mice, owls, or whatever other species of animal that creep away when they see humans. This is how a being is born from a being. For your deeds determine your rebirth, and when you’re reborn contacts strike you. This is why I say that sentient beings are heirs to their deeds. Sentient beings are the owners of their deeds and heir to their deeds. Deeds are their womb, their relative, and their refuge. They shall be the heir of whatever deeds they do, whether good or bad.
Take a certain person who gives up killing living creatures. They renounce the rod and the sword. They’re scrupulous and kind, living full of compassion for all living beings. They’re not creepy in body, speech, and mind. Doing virtuous deeds by way of body, speech, and mind, their destiny and rebirth is virtuous.
Someone whose destiny and rebirth is virtuous is reborn in one of two places, I say: in a heaven of perfect happiness, or in an eminent well-to-do family of aristocrats, brahmins, or householders—rich, affluent, and wealthy, with lots of gold and silver, lots of property and assets, and lots of money and grain. This is how a being is born from a being. For your deeds determine your rebirth, and when you’re reborn contacts strike you. This is why I say that sentient beings are heirs to their deeds.
Take someone else who gives up stealing … sexual misconduct … lying … divisive speech … harsh speech … talking nonsense … They’re content … kind hearted … they have right view … They’re not creepy in body, speech, and mind. Doing virtuous deeds by way of body, speech, and mind, their destiny and rebirth is virtuous.
Someone whose destiny and rebirth is virtuous is reborn in one of two places, I say: in a heaven of perfect happiness, or in an eminent well-to-do family of aristocrats, brahmins, or householders—rich, affluent, and wealthy, with lots of gold and silver, lots of property and assets, and lots of money and grain. This is how a being is born from a being. For your deeds determine your rebirth, and when you’re reborn contacts strike you. This is why I say that sentient beings are heirs to their deeds.
Sentient beings are the owners of their deeds and heir to their deeds. Deeds are their womb, their relative, and their refuge. They shall be the heir of whatever deeds they do, whether good or bad. This is the exposition of the teaching on creepy creatures.”
English translation by Bhikkhu Bodhi
“Bhikkhus, I will teach you an exposition of the Dhamma on creeping. Listen and attend closely. I will speak.”
“Yes, Bhante,” those bhikkhus replied. The Blessed One said this:
“And what, bhikkhus, is that exposition of the Dhamma on creeping? Bhikkhus, beings are the owners of their kamma, the heirs of their kamma; they have kamma as their origin, kamma as their relative, kamma as their resort; whatever kamma they do, good or bad, they are its heirs.
(1) “Here, someone destroys life; he is murderous, bloody-handed, given to blows and violence, merciless to living beings. He creeps along by body, speech, and mind. His bodily kamma is crooked; his verbal kamma is crooked; his mental kamma is crooked. His destination is crooked; his rebirth is crooked. But for one with a crooked destination and rebirth, I say, there is one of two destinations: either the exclusively painful hells or a species of creeping animal. And what are the species of creeping animals? The snake, the scorpion, the centipede, the mongoose, the cat, the mouse, and the owl, or any other animals that creep away when they see people. Thus a being is reborn from a being; one is reborn through one’s deeds. When one has been reborn, contacts affect one. It is in this way, I say, that beings are the heirs of their kamma.
(2) “Someone takes what is not given … (3) … engages in sexual misconduct … (4) … speaks falsehood … (5) … speaks divisively … (6) … speaks harshly … (7) … indulges in idle chatter … (8) … is full of longing … (9) … has a mind of ill will and intentions of hate … (10) … holds wrong view and has an incorrect perspective thus: ‘There is nothing given … there are in the world no ascetics and brahmins of right conduct and right practice who, having realized this world and the other world for themselves by direct knowledge, make them known to others.’ He creeps along by body, speech, and mind. His bodily kamma is crooked … His destination is crooked; his rebirth is crooked…. Thus a being is reborn from a being; one is reborn through one’s deeds. When one has been reborn, contacts affect one. It is in this way, I say, that beings are the heirs of their kamma.
“Bhikkhus, beings are the owners of their kamma, the heirs of their kamma; they have kamma as their origin, kamma as their relative, kamma as their resort; whatever kamma they do, good or bad, they are its heirs.
(1) “Here, having abandoned the destruction of life, someone abstains from the destruction of life; with the rod and weapon laid aside, conscientious and kindly, he dwells compassionate toward all living beings. He does not creep along by body, speech, and mind. His bodily kamma is straight; his verbal kamma is straight; his mental kamma is straight. His destination is straight; his rebirth is straight. But for one with a straight destination and rebirth, I say, there is one of two destinations: either the exclusively pleasant heavens or eminent families, such as those of affluent khattiyas, affluent brahmins, or affluent householders, families that are rich, with great wealth and property, abundant gold and silver, abundant treasures and belongings, abundant wealth and grain. Thus a being is reborn from a being; one is reborn through one’s deeds. When one has been reborn, contacts affect one. It is in this way, I say, that beings are the heirs of their kamma.
(2) “Having abandoned the taking of what is not given, someone abstains from taking what is not given … (3) … abstains from sexual misconduct … (4) … abstains from false speech … (5) … abstains from divisive speech … (6) … abstains from harsh speech … (7) … abstains from idle chatter … (8) … is without longing … (9) … is of good will … (10) … holds right view and has a correct perspective thus: ‘There is what is given … there are in the world ascetics and brahmins of right conduct and right practice who, having realized this world and the other world for themselves by direct knowledge, make them known to others.’ He does not creep along by body, speech, and mind. His bodily kamma is straight … His destination is straight; his rebirth is straight…. Thus a being is reborn from a being; one is reborn through one’s deeds. When one has been reborn, contacts affect one. It is in this way, I say, that beings are the heirs of their kamma.
“Bhikkhus, beings are the owners of their kamma, the heirs of their kamma; they have kamma as their origin, kamma as their relative, kamma as their resort; whatever kamma they do, good or bad, they are its heirs.
“This, bhikkhus, is that exposition of the Dhamma on creeping.”