เรื่องเกี่ยวกับท่านพระองคุลิมาล (อังคุลิมาลสูตร)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้น ในแว่นแคว้นของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้าน กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคม กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบท เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์ แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงคล้องไว้.
ครั้งนั้น ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นแล้วในเวลาหลังอาหาร กลับจากบิณฑบาต ได้เก็บเสนาสนะ ทรงถือบาตรและจีวร เดินไปตามทางที่องคุลิมาลโจรซุ่มซ่อนอยู่ พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกชาวนาที่เดินมา ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเดินไปตามทางที่องคุลิมาลโจรซุ่มซ่อนอยู่ ครั้นแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่สมณะ อย่าเดินไปทางนั้น เพราะทางนั้นมีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้าน กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคม กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบท เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงคล้องไว้ ข้าแต่สมณะ พวกบุรุษ ๑๐ คนบ้าง ๒๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้าง ๔๐ คนบ้าง ย่อมรวมเป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อเดินไปทางนี้ แม้บุรุษเหล่านั้นก็ยังถึงความพินาศ เพราะมือขององคุลิมาลโจร เมื่อคนพวกนั้นทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงนิ่ง แล้วได้เสด็จไป.
แม้ครั้งที่สอง พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกชาวนาที่เดินมา ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่สมณะ อย่าเดินไปทางนั้น เพราะทางนั้นมีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้าน กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคม กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบท เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงคล้องไว้ ข้าแต่สมณะ พวกบุรุษ ๑๐ คนบ้าง ๒๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้าง ๔๐ คนบ้าง ย่อมรวมเป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อเดินไปทางนี้ แม้บุรุษเหล่านั้นก็ยังถึงความพินาศ เพราะมือขององคุลิมาลโจร เมื่อคนพวกนั้นทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงนิ่ง แล้วได้เสด็จไป.
แม้ครั้งที่สาม พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกชาวนาที่เดินมา ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่สมณะ อย่าเดินไปทางนั้น เพราะทางนั้นมีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้าน กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคม กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบท เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงคล้องไว้ ข้าแต่สมณะ พวกบุรุษ ๑๐ คนบ้าง ๒๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้าง ๔๐ คนบ้าง ย่อมรวมเป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อเดินไปทางนี้ แม้บุรุษเหล่านั้นก็ยังถึงความพินาศ เพราะมือขององคุลิมาลโจร เมื่อคนพวกนั้นทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงนิ่ง แล้วได้เสด็จไป.
องคุลิมาลโจรได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้มีความคิดว่า ข้อนี้น่าอัศจรรย์ ข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อน พวกบุรุษ ๑๐ คนบ้าง ๒๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้าง ๔๐ คนบ้าง ย่อมรวมเป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อเดินไปทางนี้ แม้บุรุษเหล่านั้นก็ยังถึงความพินาศ เพราะมือของเรา เออก็สมณะนี้เพียงผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสักคน ชะรอยจะมาข่มเรา ทางที่ดี เราควรฆ่าสมณะนี้เสียเถิด ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรถือดาบและโล่ ผูกสอดแล่งธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคไปทางด้านหลัง ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร1 โดยวิธีที่องคุลิมาลโจร จะวิ่งจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจทันพระผู้มีพระภาคผู้เดินไปตามปกติ.
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้มีความคิดว่า ข้อนี้น่าอัศจรรย์ ข้อนี้ไม่เคยมาก่อน ด้วยว่าเมื่อก่อนแม้ช้างกำลังวิ่ง แม้ม้ากำลังวิ่ง แม้รถกำลังแล่น แม้เนื้อกำลังวิ่ง เราก็ยังวิ่งตามจับได้ แต่ว่าเราวิ่งจนสุดกำลัง ยังไม่อาจทันสมณะนี้ซึ่งเดินไปตามปกติ ดังนี้ จึงหยุดยืนกล่าวกับพระผู้มีพระภาคว่า จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านต่างหากจงหยุดเถิด.
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรคิดว่า สมณศากยบุตรเหล่านั้นมักเป็นคนพูดจริง มีปฏิญญาจริง2 แต่สมณะรูปนี้เดินไปอยู่แท้ๆ กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านต่างหากจงหยุดเถิด ทางที่ดี เราควรถามสมณะรูปนี้เถิด.
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้กล่าวกับพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
สมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า
เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด
กลับกล่าวหาข้าพเจ้าผู้หยุดแล้วว่ายังไม่หยุด
สมณะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กับท่าน
ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดแล้วเป็นอย่างไร.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
องคุลิมาล เราวางอาชญาในสัตว์ทั้งหลายได้แล้ว
จึงชื่อว่าหยุดแล้วในกาลทุกเมื่อ
ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนท่านชื่อว่ายังไม่หยุด.
องคุลิมาลโจรกล่าวว่า
สมณะ นานจริงหนอ ท่านผู้ที่เทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มาถึงป่าใหญ่เพื่อจะสงเคราะห์ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้านั้นจักละการทำบาป เพราะฟังคาถาอันประกอบด้วยธรรมของท่าน.
องคุลิมาลโจรกล่าวดังนี้แล้ว ได้ทิ้งดาบและอาวุธลงในเหวลึก มีหน้าผาที่ชัน องคุลิมาลโจรได้อภิวาทพระบาททั้งสองของพระสุคต แล้วได้ขอบรรพชากะพระสุคตในที่นั้นเอง.
พระพุทธเจ้าผู้ทรงประกอบด้วยพระกรุณา ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นศาสดาของโลก พร้อมทั้งเทวโลก ได้ตรัสกับองคุลิมาลโจรในเวลานั้นว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด นี้แลเป็นภิกษุภาวะขององคุลิมาลโจรนั้น ดังนี้.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคมีพระองคุลิมาลเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จจาริกไปทางพระนครสาวัตถี ทรงจาริกไปโดยลำดับ จนถึงพระนครสาวัตถี.
ได้ยินว่า ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้น หมู่มหาชนประชุมกันอยู่ที่ประตูพระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล ส่งเสียงอื้ออึงว่า ข้าแต่เทวะ ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้าน กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคม กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบท เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงคล้องไว้ ขอพระองค์จงกำจัดมันเสียเถิด.
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จออกจากพระนครสาวัตถี ด้วยขบวนม้าประมาณ ๕๐๐ เสด็จเข้าไปทางพระอารามตั้งแต่ตอนกลางวันทีเดียว ได้ไปด้วยพระยานจนสุดทางที่ยานจะไปได้ จากนั้นได้ลงจากยาน แล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาท (เดินด้วยเท้า) เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้นอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ประทับนั่งในที่สมควร.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้นั่งในที่สมควรว่า มหาราช พระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนานามว่าพิมพิสาร ทรงทำให้ท่านขัดเคือง หรือว่าเจ้าลิจฉวีเมืองเวสาลี ทำให้ท่านขัดเคือง หรือว่าพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น ทำให้ท่านขัดเคืองหรือ.
พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลว่า ภันเต พระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนานามว่าพิมพิสาร ไม่ได้ทำหม่อมฉันให้ขัดเคือง แม้เจ้าลิจฉวีเมืองเวสาลี ก็ไม่ได้ทำให้หม่อมฉันขัดเคือง แม้พระราชาที่เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น ก็ไม่ได้ทำให้หม่อมฉันขัดเคือง ภันเต ในแว่นแคว้นของหม่อมฉัน มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้าน กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคม กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบท เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงคล้องไว้ หม่อมฉันจักกำจัดมันเสีย.
มหาราช ถ้าท่านเห็นองคุลิมาลผู้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมน้ำฝาด ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันอาหารหนเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ ท่านจะทำอย่างไรกับเขา.
ภันเต หม่อมฉันจะอภิวาท จะลุกรับ จะเชื้อเชิญด้วยอาสนะ จะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร และจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองอย่างเป็นธรรม แต่องคุลิมาลโจรนั้น เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม จักมีความสำรวมด้วยศีลเห็นปานนี้ ได้อย่างไร.
ก็สมัยนั้น ท่านพระองคุลิมาล นั่งอยู่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงยกมืขวาขึ้นชี้บอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า มหาราช นั่นคือองคุลิมาล.
ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงมีความกลัว มีความหวาดหวั่น ขนลุกชูชัน.
พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลมีความกลัว มีความหวาดหวั่น ขนลุกชูชัน จึงได้ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่ากลัวเลย มหาราช อย่ากลัวเลย มหาราช องคุลิมาลนี้ไม่มีอันตรายต่อท่าน.
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงระงับความกลัว ระงับความหวาดหวั่น ระงับขนที่ลุกชูชันได้แล้ว จึงเข้าไปหาท่านองคุลิมาล ครั้นแล้ว ได้ตรัสกะท่านองคุลิมาลว่า ท่านผู้เจริญ ภันเตคือองคุลิมาลหรือ.
ท่านพระองคุลิมาลตอบว่า เป็นอย่างนั้น มหาราช.
บิดาของท่านผู้เจริญมีโคตรอย่างไร มารดาของท่านผู้เจริญมีโคตรอย่างไร.
มหาราช บิดาเราชื่อคัคคะ มารดาเราชื่อมันตานี.
ท่านผู้เจริญ ขอท่านคัคคะมันตานีบุตร จงอภิรมย์เถิด ข้าพเจ้าจักทำความขวนขวาย เพื่อจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แก่ท่านคัคคะมันตานีบุตรเอง.
ก็สมัยนั้น ท่านพระองคุลิมาล ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร ครั้งนั้น ท่านองคุลิมาลได้กล่าวกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าเลย มหาราช จีวรทั้ง ๓ ผืนของเรามีครบแล้ว.
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ อภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วจึงประทับนั่งในที่สมควร และได้ทูลว่า ภันเต ข้อนี้น่าอัศจรรย์ ข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อน ที่พระผู้มีพระภาคทรงทรมานบุคคลที่ใครๆ ทรมานไม่ได้ ให้ทรมานได้ ทรงทำให้บุคคลที่ใครๆ ทำให้สงบไม่ได้ ให้สงบได้ ทรงทำบุคคลที่ใครๆ ดับไม่ได้ ให้ดับได้ เพราะว่าหม่อมฉันไม่สามารถจะทรมานผู้ใดได้ แม้ด้วยอาชญา แม้ด้วยศาตรา ผู้นั้นพระผู้มีพระภาคทรงทรมานได้โดยไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาตรา ภันเต หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก หม่อมฉันขอทูลลาไปในบัดนี้.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มหาราช ท่านจงทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด.
ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลุกจากที่ประทับ อภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วเสด็จหลีกไป.
ครั้งนั้นเวลาเช้า ท่านพระองคุลิมาลนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เมื่อกำลังเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับอยู่ในพระนครสาวัตถี ได้เห็นสตรีคนหนึ่งมีครรภ์แก่หนัก ครั้นแล้ว ได้มีความคิดว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ ดังนี้.
ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี เวลาหลังอาหาร กลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ อภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร ครั้นแล้วได้ทูลว่า ภันเต เวลาเช้าวันนี้ ข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี กำลังเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับอยู่ในพระนครสาวัตถี ได้เห็นสตรีคนหนึ่งมีครรภ์แก่หนัก ครั้นแล้วได้มีความคิดว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่าองคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้นและกล่าวกับสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ภคินี (น้องหญิง) ตั้งแต่เราเกิดมาแล้วไม่เคยรู้สึกว่าได้จงใจฆ่าสัตว์ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด.
ท่านพระองคุลิมาลทูลว่า ภันเต ก็อาการนั้นจักเป็นอันข้าพระองค์กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่เป็นแน่ เพราะข้าพระองค์ได้จงใจฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมาก.
องคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้น แล้วกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ภคินี ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาติ ไม่เคยรู้สึกว่าได้จงใจฆ่าสัตว์เลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด.
ท่านพระองคุลิมาลทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาสตรีนั้นยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกับสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ภคินี ตั้งแต่เวลาเราเกิดแล้วในอริยชาติ ไม่เคยรู้สึกว่าได้จงใจฆ่าสัตว์เลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด ครั้งนั้น ความสวัสดีได้มีแก่สตรีนั้น ความสวัสดีได้มีแก่ครรภ์ของสตรีนั้นแล้ว.
ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาล หลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่ ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่ได้มีอีก ดังนี้ ก็ท่านพระองคุลิมาลได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
ครั้งนั้นเวลาเช้า ท่านพระองคุลิมาลนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ก็เวลานั้น ก้อนดินที่บุคคลทั้งหลายขว้างไปทางอื่น ก็มาตกลงที่กายของท่านพระองคุลิมาล ท่อนไม้ … ก้อนกรวดที่บุคคลทั้งหลายขว้างไปทางอื่น ก็มาตกลงที่กายของท่านพระองคุลิมาล ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ.
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่านพระองคุลิมาลว่า เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์3 เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์ เธอได้รับผลกรรมซึ่งจะเป็นเหตุให้เธอหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ในปัจจุบันนี้แล้ว.
ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลไปในที่หลีกเร้นอยู่ เสวยวิมุติสุข เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
เมื่อก่อน ผู้ใดประมาท ภายหลัง ผู้นั้นไม่ประมาท
เขาย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว ดังดวงจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆฉันนั้น
ผู้ใดทำกรรมอันเป็นบาปแล้ว ย่อมปิดไว้ได้ด้วยกุศล
ผู้นั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้ ดังดวงจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆฉันนั้น.
ภิกษุใด ยังเป็นหนุ่ม ขวนขวายอยู่ในพระพุทธศาสนา
ภิกษุนั้น ย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว ดังดวงจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆฉันนั้น.
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมกถาเถิด
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงขวนขวายในพระพุทธศาสนาเถิด
ขอมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นศัตรูของเรา จงคบสัปบุรุษผู้ชักชวนให้ยึดถือธรรมเถิด.
ขอจงได้รับความผ่องแผ้วคือขันติ และสรรเสริญความไม่ทำร้ายเถิด
ขอจงฟังธรรมตามกาล และจงกระทำตามธรรมนั้นเถิด
ผู้ที่เป็นศัตรูนั้น ไม่ควรเบียดเบียนเรา หรือใครๆ อื่นเลย
ขอให้บรรลุถึงความสงบอย่างยิ่ง แล้วรักษาไว้ซึ่งสัตว์ที่หวาดสะดุ้งและที่มั่นคง.
คนทดน้ำ ย่อมชักน้ำไปได้ ช่างศร ย่อมดัดลูกศรให้ตรงได้
ช่างถาก ย่อมถากไม้ได้ ฉันใด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมฝึกตนได้ ฉันนั้น.
คนบางพวกย่อมฝึกสัตว์ ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยตะขอบ้าง ด้วยแส้บ้าง
เราเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงฝึกแล้ว โดยไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาตรา
เมื่อก่อน เรามีชื่อว่าอหิงสกะ4 แต่ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่
วันนี้ เรามีชื่อตรงความจริง เราไม่เบียดเบียนใครๆ แล้ว.
เมื่อก่อนเราเป็นโจร ปรากฏชื่อว่าองคุลิมาล
ถูกกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่พัดไปมา จึงได้มาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
เมื่อก่อนเรามีมือเปื้อนเลือด ปรากฏชื่อว่าองคุลิมาล
การที่เราถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ จึงถอนตัณหาอันจะนำไปสู่ภพเสียได้.
เรากระทำกรรมที่จะให้ถึงทุคติเช่นนั้นไว้มาก
เราได้รับผลของกรรมนั้นแล้ว จึงเป็นผู้ไม่มีหนี้บริโภคโภชนะ
พวกชนที่เป็นพาลทรามปัญญา ย่อมประกอบอยู่ในความประมาท
ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้
เหมือนรักษาทรัพย์อันประเสริฐฉันนั้น
ท่านทั้งหลาย จงอย่าประกอบอยู่ในความประมาท
อย่าคลุกคลี อย่ายินดีในกาม
เพราะว่าผู้ที่ไม่ประมาทแล้ว มีการเพ่งพินิจอยู่ ย่อมถึงความสุขอันไพบูลย์
การที่เรามาสู่พระพุทธศาสนานี้นั้น เป็นการมาถูกทางแล้ว
ไม่ไร้ประโยชน์ คิดไม่ผิด
บรรดาธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกไว้ดีแล้ว
เราก็ได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดแล้ว (นิพพาน)
การที่เราได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดนี้นั้น เป็นการถึงอย่างถูกต้องแล้ว
ไม่ไร้ประโยชน์ คิดไม่ผิด
วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าได้เรากระทำตามแล้ว ดังนี้.
-บาลี ม. ม. 13/477/521.
https://84000.org/tipitaka/pali/?13//521, https://etipitaka.com/read/pali/13/521
1 การปรุงแต่งขึ้นด้วยฤทธ์
2 มีปฏิญญาจริง ศัพท์บาลีคือ สจฺจปฏิฺา คำว่า ปฏิฺา = การรับรู้, การเห็นด้วย, การสัญญา, การปฏิญาณ, การยินยอม, การอนุญาต.
3 พราหมณ์ ในที่นี้หมายถึงผู้ประเสริฐ.
4 อหิงสกะ = ผู้ไม่ทำร้ายคนอื่น, ผู้ไม่เบียดเบียนคนอื่น.
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.
Now at that time in the realm of King Pasenadi of Kosala there was a bandit named Aṅgulimāla. He was violent, bloody-handed, a hardened killer, merciless to living beings. He laid waste to villages, towns, and countries. He was constantly murdering people, and he wore their fingers as a necklace.
Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Sāvatthī for alms. Then, after the meal, on his return from almsround, he set his lodgings in order and, taking his bowl and robe, he walked down the road that led to Aṅgulimāla.
The cowherds, shepherds, farmers, and travelers saw him on the road, and said to him, “Don’t take this road, ascetic. On this road there is a bandit named Aṅgulimāla. He is violent, bloody-handed, a hardened killer, merciless to living beings. He has laid waste to villages, towns, and countries. He is constantly murdering people, and he wears their fingers as a necklace. People travel along this road only after banding closely together in groups of ten, twenty, thirty, forty, or fifty. Still they meet their end by Aṅgulimāla’s hand.” But when they said this, the Buddha went on in silence.
For a second time … and a third time, they urged the Buddha to turn back.
But when they said this, the Buddha went on in silence.
The bandit Aṅgulimāla saw the Buddha coming off in the distance, and thought, “Oh, how incredible, how amazing! People travel along this road only after banding closely together in groups of ten, twenty, thirty, forty, or fifty. Still they meet their end by my hand. But still this ascetic comes along alone and unaccompanied, like he had beaten me already. Why don’t I take his life?”
Then Aṅgulimāla donned his sword and shield, fastened his bow and arrows, and followed behind the Buddha. But the Buddha used his psychic power to will that Aṅgulimāla could not catch up with him no matter how hard he tried, even though the Buddha kept walking at a normal speed.
Then Aṅgulimāla thought, “Oh, how incredible, how amazing! Previously, even when I’ve chased a speeding elephant, horse, chariot or deer, I’ve always caught up with them. But I can’t catch up with this ascetic no matter how hard I try, even though he’s walking at a normal speed.”
He stood still and said, “Stop, stop, ascetic!”
“I’ve stopped, Aṅgulimāla—now you stop.”
Then Aṅgulimāla thought, “These Sakyan ascetics speak the truth. Yet while walking the ascetic Gotama says: ‘I’ve stopped, Aṅgulimāla—now you stop.’ Why don’t I ask him about this?”
Then he addressed the Buddha in verse:
“While walking, ascetic, you say ‘I’ve stopped.’
And I have stopped, but you tell me I’ve not.
I’m asking you this, ascetic:
how is it you’ve stopped and I have not?”
“Aṅgulimāla, I have forever stopped—
I’ve laid aside violence towards all creatures.
But you can’t stop yourself
from harming living creatures;
that’s why I’ve stopped, but you have not.”
“Oh, at long last a renowned great seer,
an ascetic has followed me into this deep wood.
Now that I’ve heard your verse on Dhamma,
I shall live without evil.”
With these words,
the bandit hurled his sword and weapons
down a cliff into an abyss.
He venerated the Holy One’s feet,
and asked him for the going forth right away.
Then the Buddha, the compassionate great seer,
the teacher of the world with its gods,
said to him, “Come, monk!”
And with that he became a monk.
Then the Buddha set out for Sāvatthī with Venerable Aṅgulimāla as his second monk. Traveling stage by stage, he arrived at Sāvatthī, where he stayed in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.
Now at that time a crowd had gathered by the gate of King Pasenadi’s royal compound making a dreadful racket, “In your realm, Your Majesty, there is a bandit named Aṅgulimāla. He is violent, bloody-handed, a hardened killer, merciless to living beings. He has laid waste to villages, towns, and countries. He is constantly murdering people, and he wears their fingers as a necklace. Your Majesty must put a stop to him!”
Then King Pasenadi drove out from Sāvatthī in the middle of the day with around five hundred horses, heading for the monastery. He went by carriage as far as the terrain allowed, then descended and approached the Buddha on foot. He bowed and sat down to one side. The Buddha said to him,
“What is it, great king? Is King Seniya Bimbisāra of Magadha angry with you, or the Licchavis of Vesālī, or some other opposing ruler?”
“No, sir. In my realm there is a bandit named Aṅgulimāla. He is violent, bloody-handed, a hardened killer, merciless to living beings. … I shall put a stop to him.”
“But great king, suppose you were to see that Aṅgulimāla had shaved off his hair and beard, dressed in ocher robes, and gone forth from the lay life to homelessness. And that he was refraining from killing living creatures, stealing, and lying; that he was eating in one part of the day, and was celibate, ethical, and of good character. What would you do to him?”
“I would bow to him, rise in his presence, or offer him a seat. I’d invite him to accept robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick. And I’d organize his lawful guarding and protection. But sir, how could such an immoral, evil man ever have such virtue and restraint?”
Now at that time Venerable Aṅgulimāla was sitting not far from the Buddha. Then the Buddha pointed with his right arm and said to the king, “Great king, this is Aṅgulimāla.”
Then the king became frightened, scared, his hair standing on end. Knowing this, the Buddha said to him, “Do not fear, great king. You have nothing to fear from him.” Then the king’s fear died down.
Then the king went over to Aṅgulimāla and said, “Sir, is the venerable really Aṅgulimāla?”
“Yes, great king.”
“What clans were your father and mother from?”
“My father was a Gagga, and my mother a Mantāṇī.”
“May the venerable Gagga son of Mantāṇī be happy. I’ll make sure that you’re provided with robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick.”
But at that time Venerable Aṅgulimāla lived in the wilderness, ate only almsfood, and owned just three robes. So he said to the king, “Enough, great king. My robes are complete.”
Then the king went back to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “It’s incredible, sir, it’s amazing! How the Buddha tames those who are wild, pacifies those who are violent, and extinguishes those who are unextinguished! For I was not able to tame him with the rod and the sword, but the Buddha tamed him without rod or sword. Well, now, sir, I must go. I have many duties, and much to do.”
“Please, great king, go at your convenience.” Then King Pasenadi got up from his seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right, before leaving.
Then Venerable Aṅgulimāla robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Sāvatthī for alms. Then as he was wandering indiscriminately for almsfood he saw a woman undergoing a painful obstructed labor. Seeing this, it occurred to him, “Oh, beings undergo such travail! Oh, beings undergo such travail!”
Then after wandering for alms in Sāvatthī, after the meal, on his return from almsround, he went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened. The Buddha said to him, “Well then, Aṅgulimāla, go to that woman and say this:
‘Ever since I was born, sister, I don’t recall having intentionally taken the life of a living creature. By this truth, may both you and your baby be safe.’”
“But sir, wouldn’t that be telling a deliberate lie? For I have intentionally killed many living creatures.”
“In that case, Aṅgulimāla, go to that woman and say this:
‘Ever since I was born in the noble birth, sister, I don’t recall having intentionally taken the life of a living creature. By this truth, may both you and your baby be safe.’”
“Yes, sir,” replied Aṅgulimāla. He went to that woman and said:
“Ever since I was born in the noble birth, sister, I don’t recall having intentionally taken the life of a living creature. By this truth, may both you and your baby be safe.”
Then that woman was safe, and so was her baby.
Then Aṅgulimāla, living alone, withdrawn, diligent, keen, and resolute, soon realized the supreme end of the spiritual path in this very life. He lived having achieved with his own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.
He understood: “Rebirth is ended; the spiritual journey has been completed; what had to be done has been done; there is no return to any state of existence.” And Venerable Aṅgulimāla became one of the perfected.
Then Venerable Aṅgulimāla robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Sāvatthī for alms. Now at that time someone threw a stone that hit Aṅgulimāla, someone else threw a stick, and someone else threw gravel. Then Aṅgulimāla—with cracked head, bleeding, his bowl broken, and his outer robe torn—went to the Buddha.
The Buddha saw him coming off in the distance, and said to him, “Endure it, brahmin! Endure it, brahmin! You’re experiencing in this life the result of deeds that might have caused you to be tormented in hell for many years, many hundreds or thousands of years.”
Later, Venerable Aṅgulimāla was experiencing the bliss of release while in private retreat. On that occasion he expressed this heartfelt sentiment:
“He who once was heedless,
but turned to heedfulness,
lights up the world,
like the moon freed from a cloud.
Someone whose bad deed
is supplanted by the good,
lights up the world,
like the moon freed from a cloud.
A young mendicant
devoted to the Buddha’s teaching,
lights up the world,
like the moon freed from a cloud.
May even my enemies
hear a Dhamma talk!
May even my enemies
devote themselves to the Buddha’s teaching!
May even my enemies
associate with those good people
who establish others in the Dhamma!
May even my enemies
hear Dhamma at the right time,
from those who teach acceptance,
praising acquiescence;
and may they follow that path!
For then they’d surely wish no harm
upon myself or others.
Having arrived at ultimate peace,
they’d look after creatures firm and frail.
For irrigators guide the water,
and fletchers straighten arrows;
carpenters carve timber—
but the astute tame themselves.
Some tame by using the rod,
some with goads, and some with whips.
But the poised one tamed me
without rod or sword.
My name is ‘Harmless’,
though I used to be harmful.
The name I bear today is true,
for I do no harm to anyone.
I used to be a bandit,
the notorious Aṅgulimāla.
Swept away in a great flood,
I went to the Buddha as a refuge.
I used to have blood on my hands,
the notorious Aṅgulimāla.
See the refuge I’ve found—
the conduit to rebirth is eradicated.
I’ve done many of the sort of deeds
that lead to a bad destination.
The result of my deeds has already struck me,
so I enjoy my food free of debt.
Fools and half-wits
devote themselves to negligence.
But the wise protect diligence
as their best treasure.
Don’t devote yourself to negligence,
or delight in sexual intimacy.
For if you’re diligent and practice absorption,
you’ll attain abundant happiness.
It was welcome, not unwelcome,t
he advice I got was good.
Of the well-explained teachings,
I arrived at the best.
It was welcome, not unwelcome,
the advice I got was good.
I’ve attained the three knowledges
and fulfilled the Buddha’s instructions.”
English translation by I.B. Horner
Thus have I heard: Sāvatfthī, at Jeta Grove, in Anāthapiṇḍika’s monastery. Now at that time, in the realm of King Pasenadi of Kosala there was a robber named Aṅgulimāla a hunter, bloody-handed, bent on death and destruction, merciless to living creatures. Through him villages were depopulated and market towns were depopulated and country districts were depopulated. From his constant killing of people he wore a garland of fingers.
Then the Lord, having dressed in the morning, taking his bowl and robe, entered Sāvatthī for almsfood; having walked for alms in Sāvatthī, returning from the alms gathering after the meal, having packed away his lodging, taking his bowl and robe, he set out along a highway towards the robber Aṅgulimāla. Cowherds, goatherds, yeomen farmers and travellers saw the Lord as he was setting out along the highway towards the robber Aṅgulimāla. Having seen the Lord, they spoke thus to him: “Do not, recluse, set out along this road. There is a robber on this road called Aṅgulimāla, a hunter, bloody-handed, bent on death and destruction, merciless to living creatures. Through him villages are depopulated and market towns are depopulated and country districts are depopulated. From his constant killing of people he wears a garland of fingers. This is a road, recluse, along which ten or twenty or thirty or forty men set out only after they have collected together, and even they are at the mercy of the robber Aṅgulimāla.” When this had been said, the Lord, having become silent, went on.
And a second time, the cowherds, goatherds, yeomen farmers and travellers spoke thus to the Lord: “Do not, recluse, set out along this road. There is a robber on this road called Aṅgulimāla, a hunter, bloody-handed, bent on death and destruction, merciless to living creatures. Through him villages are depopulated and market towns are depopulated and country districts are depopulated. From his constant killing of people he wears a garland of fingers. This is a road, recluse, along which ten or twenty or thirty or forty men set out only after they have collected together, and even they are at the mercy of the robber Aṅgulimāla.” And a second time, when this had been said, the Lord, having become silent, went on.
And a third time, the cowherds, goatherds, yeomen farmers and travellers spoke thus to the Lord: “Do not, recluse, set out along this road. There is a robber on this road called Aṅgulimāla, a hunter, bloody-handed, bent on death and destruction, merciless to living creatures. Through him villages are depopulated and market towns are depopulated and country districts are depopulated. From his constant killing of people he wears a garland of fingers. This is a road, recluse, along which ten or twenty or thirty or forty men set out only after they have collected together, and even they are at the mercy of the robber Aṅgulimāla.” And a third time, when this had been said, the Lord, having become silent, went on.
The robber Aṅgulimāla saw the Lord coming in the distance; on seeing him, it occurred to him: “Indeed it is wonderful, indeed it is marvellous. This is a road, along which ten or twenty or thirty or forty men set out only after they have collected together, and even they are at my mercy. And now this recluse is coming along alone, without a companion, it seems from choice. Suppose I were to deprive this recluse of life?” Then the robber Aṅgulimāla, having grasped his sword and shield, having armed himself with bow and quiver, followed close after the Lord.
Then the Lord performed such a wonder of psychic power that the robber Aṅgulimāla, although walking with all his strength, was not able to catch up with the Lord who was walking at an ordinary pace. Then it occurred to the robber Aṅgulimāla: ‘Indeed it is wonderful, indeed it is marvellous. Although formerly I could attack and seize a running elephant, I could attack and seize a running horse, I could attack and seize a running chariot, I could attack and seize a running deer, now I, although walking with all my strength, am not able to catch up with this recluse who is walking at an ordinary pace. Standing still, he said to the Lord: “Stand still, recluse, stand still, recluse.” “I am standing still, Aṅgulimāla, you too stand still.”
Then it occurred to the robber Aṅgulimāla: “These recluses, sons of the Sakyans, are truth-speakers, approving of truth. But yet this recluse, while he is walking, says: ‘I am standing still, Aṅgulimāla, you too stand still.’ Suppose I were to question this recluse?” Then the robber Aṅgulimāla spoke out to the Lord in verses:
“While you are walking, recluse, you say:
‘I am standing still,’
and you tell me, who am standing still,
that I am not standing still.
I ask you, recluse, about this matter:
How is it that you are standing still,
yet I am not standing still?”
“I, Aṅgulimāla, am standing still,
having for all beings everywhere laid aside the stick,
But you are unrestrained regarding creatures;
therefore I am standing still,
you are not standing still.”
“Long it is since a great sage was honoured by me, yet this recluse is penetrating the Great Grove. I will soon get rid of evil, hearing dhamma in a verse of yours.” When the robber had spoken thus, he hurled his sword and weapons down a cliff, into a pit, a chasm. The robber honoured the Well-farer’s feet; there he asked for the going forth. The Awakened One and compassionate great sage, who is the Teacher of the world with its devas, thereupon said to him: “Come, monk.” This itself was monk’s status for him.
Then the Lord set out on tour for Sāvatthī with the venerable Aṅgulimāla as his attendant. In due course, walking on tour, he arrived at Sāvatthī. While he was there the Lord stayed near Sāvatthī, in the Jeta Grove in Anāthapiṇḍika’s monastery.
Now at that time, a great concourse of people, having gathered together at the gate of King Pasenadi’s palace, were making a loud noise, a great noise, saying: “There is a robber in your realm, sire, called Aṅgulimāla, a hunter, bloody-handed, bent on death and destruction, merciless to living creatures. Through him villages are depopulated and market towns are depopulated and country districts are depopulated. From his constant killing of people he wears a garland of fingers. Let the king drive him out.” Then King Pasenadi, with as many as five hundred horses, left Sāvatthī early in the morning and started for the monastery. Having gone by vehicle as far as the ground permitted, he dismounted from his vehicle and approached the Lord on foot; having approached, having greeted the Lord, he sat down at a respectful distance.
The Lord spoke thus to King Pasenadi as he was sitting down at a respectful distance: “What is it, sire? Is King Seniya Bimbisāra of Magadha angry with you, or the Licchavis of Vesālī, or some hostile king?” “Revered sir, it is not that King Seniya Bimbisāra of Magadha is angry with me, or the Licchavis of Vesālī, or any hostile king. There is a robber in my realm, revered sir, named Aṅgulimāla, a hunter, bloody-handed, bent on death and destruction, merciless to living creatures. Through him villages are depopulated and market towns are depopulated and country districts are depopulated. From his constant killing of people he wears a garland of fingers. I, revered sir, shall never drive him out.” “But if you, sire, were to see the robber Aṅgulimāla, having had his hair and beard cut off, having donned saffron robes, having gone forth from home into homelessness, refraining from onslaught on creatures, refraining from taking what has not been given, refraining from lying speech, a one-meal-man, a Brahma-farer, virtuous, of lovely character, what would you do to him?” “Revered sir, we would salute him or rise up before him or offer him a seat or invite him to the requisites of robe-material, almsfood, lodgings and medicines for the sick, or we would have a proper watch and ward and guard provided for him. But whence could there be, revered sir, such control in moral habit for one of bad morality, of evil character?”
Now at that time the venerable Aṅgulimāla was sitting near the Lord. Then the Lord, stretching out his right arm, spoke thus to King Pasenadi: “This, sire, is Aṅgulimāla.” Then King Pasenadi was afraid, alarmed and his hair stood on end. Then the Lord, knowing King Pasenadi’s terror and agitation and that his hair was standing on end, spoke thus to King Pasenadi: “Do not be afraid, sire, do not be afraid, sire; you have no cause for fear here.” Then King Pasenadi’s fear and alarm and the standing of his hair on end all abated.
Then King Pasenadi approached the venerable Aṅgulimāla; having approached, he spoke thus to the venerable Aṅgulimāla: “Revered sir, is the master really Aṅgulimāla?” “Yes, sire.” “Of what clan was the master’s father? Of what clan his mother?” “Gagga was my father, sire, Mantāni my mother.” “Revered sir, let the master, the son of Gagga and Mantāni, be of good cheer. I will make an effort in the matter of the requisites of robe-material, almsfood, lodgings and medicines for the sick, or we would have a proper watch and ward and guard provided for the master, the son of Gagga and Mantāni.” Now at that time the venerable Aṅgulimāla was a forest-dweller, an almsman, a rag-robe wearer, one who wore the three robes. So the venerable Aṅgulimāla spoke thus to King Pasenadi: “No, sire, I am complete as to the three robes.”
Then King Pasenadi approached the Lord; having approached, having greeted the Lord, he sat down at a respectful distance. As he was sitting down at a respectful distance, King Pasenadi spoke thus to the Lord: “It is wonderful, revered sir, it is marvellous, revered sir, how this Lord, revered sir, tames the untamed, calms the uncalmed, helps to quell completely those that are not completely quelled. Him, revered sir, that I was unable to tame with stick and sword, the Lord has tamed without stick or sword. Well, I am going now, revered sir, I am very busy, there is much to be done.” “You do now, sire, that for which you deem it the right time.” Then King Pasenadi, rising from his seat, having greeted the Lord, departed keeping his right side towards him.
Then the venerable Aṅgulimāla, having dressed in the morning, taking his bowl and robe, entered Sāvatthī for almsfood. And as the venerable Aṅgulimāla was walking in Sāvatthī on an uninterrupted round for almsfood, he saw a woman in difficult and dangerous labour. On seeing her, it occurred to him: “Beings are indeed impure, beings are indeed impure.”
Then the venerable Aṅgulimāla, having walked in Sāvatthī for almsfood, on returning from the alms gathering after the meal, approached the Lord; having approached, having greeted the Lord, he sat down at a respectful distance. As he was sitting down at a respectful distance, the venerable Aṅgulimāla spoke thus to the Lord: “Now, I, revered sir, having dressed in the morning was walking in Sāvatthī on an uninterrupted round for almsfood, and saw a woman in difficult and dangerous labour. On seeing her, it occurred to me: “Beings are indeed impure, beings are indeed impure.” “Well then, do you, Aṅgulimāla, approach Sāvatthī; having approached, speak thus to that woman: ‘I, sister, am not aware of having intentionally deprived any living thing of life since I was born. By this truth may there be well-being for you, well-being for the unborn child.’” “But would not this be deliberate lying on my part, revered sir? For, revered sir, many living things have been intentionally deprived of life by me.” “Well then, do you, Aṅgulimāla, approach Sāvatthī; having approached, speak thus to that woman: ‘I, sister, am not aware of having intentionally deprived any living thing of life since I was born of the ariyan birth. By this truth may there be well-being for you, well-being for the unborn child.’” “Yes, revered sir,” and the venerable Aṅgulimāla, having answered the Lord in assent, approached Sāvatthī; having approached, he spoke thus to that woman: “I, sister, am not aware of having intentionally deprived any living thing of life since I was born of the ariyan birth. By this truth may there be well-being for you, well-being for the unborn child.’”
Then the venerable Aṅgulimāla, living alone, aloof, diligent, ardent, self-resolute, having soon realised here and now by his own super-knowledge that matchless goal of the Brahma-faring for the sake of which young men of family rightly go forth from home into homelessness, entering on it, abided in it. And he knew: Destroyed is birth, brought to a close the Brahma-faring, done is what was to be done, there is no more of being such or so. And so the venerable Aṅgulimāla was one of the perfected ones.
Then the venerable Aṅgulimāla, having dressed in the morning, taking his bowl and robe, entered Sāvatthī for almsfood. Now at that time a clod of earth thrown by one man fell on the venerable Aṅgulimāla, also a stick thrown by another and gravel thrown by a third. Then the venerable Aṅgulimāla, with a broken head streaming with blood, his bowl smashed, and his outer cloak in tatters, approached the Lord.
The Lord saw the venerable Aṅgulimāla coming in the distance; seeing him, he spoke thus to the venerable Aṅgulimāla: “Do you endure it, brahman do you endure it, brahman. You are experiencing here and now the ripening of that kamma through the ripening of which you would (otherwise) boil in Niraya Hell for many years, many hundreds of years, many thousands of years.”
Then the venerable Aṅgulimāla, as he was meditating in private, experienced the bliss of freedom, and at that time uttered this solemn utterance:
“He who formerly was slothful
but afterwards is diligent,
Illumines this world like
the moon when freed from a cloud.
He whose evilly done kamma
is closed by what is skilled,
Illumines this world like
the moon when freed from a cloud.
Indeed, he who, a young monk,
cleaves to the Awakened One’s Dispensation
Illumines this world like
the moon when freed from a cloud.
Let my foes but hear talk on dhamma,
let my foes but cleave
to the Awakened One’s Dispensation.
Let those men, my foes, but follow dhamma and,
calmed, only it will they accept.
Let my foes, from speakers on forbearance
and commenders of gentleness,
Hear dhamma from time to time
and act in conformity with it.
Such a one would not harm me
nor yet any other at all,
He would attain the uttermost peace
and guard those who have craving
and those who have none.
As ditchers lead the water,
as fletchers shape the shaft,
As joiners shape the timber,
so do the wise tame themselves.
Some are tamed by the stick, goads or whips;
I, without stick, without weapon,
was tamed by Him who is ‘Such’.
My name is ‘Harmless,’
though once I harmful was.
Today I am truly named,
for I harm no thing at all.
Once I was the notorious robber Aṅgulimāla;
Being swept away by the great flood,
I came to the Awakened One for refuge.
Once I was the notorious bloody-handed Aṅgulimāla,
O see my going for refuge,
becoming’s cord removed!
Me who had wrought such kamma
as leads to many a woeful bourn,
When touched by the ripening of kamma,
debtless I enjoy an owner’s state.
Fools, folk poor in wisdom,
pursue slothfulness;
A wise man guards diligence
as wealth supreme.
Pursue not slothfulness,
be not acquainted with sensual delights,
Meditating with diligence
one attains abundant joy.
Well was (my) coming,
there is no departing,
nor was I ill-advised.
Among various truths
that which I follow is supreme.
Well was (my) coming,
there is no departing,
nor was I ill-advised.
Won is the threefold knowledge,
done is the teaching of the Awakened One.”