ผลของการประพฤติธรรม และประพฤติสงบ (๒)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ บรรลุถึงพราหมณคามของชาวโกศลชื่อสาละ.
พราหมณ์คหบดีชาวหมู่บ้านสาละได้ทราบข่าวว่า พระสมณโคดมผู้เป็นโอรสของเจ้าศากยะ ออกผนวชจากศากยสกุลแล้ว เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ บรรลุถึงพราหมณคามชื่อสาละแล้ว ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระสมณโคดมนั้น ทรงกระทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นความดี ดังนี้.
ครั้งนั้น พราหมณ์คหบดีชาวหมู่บ้านสาละ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว บางพวกถวายอภิวาทแล้วนั่งในที่สมควร บางพวกได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค พอให้เป็นที่ระลึกถึงกันแล้วนั่งในที่สมควร บางพวกประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร บางพวกประกาศชื่อและโคตรในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร ครั้นแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ให้สัตว์บางพวกในกรณีนี้ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ให้สัตว์บางพวกในกรณีนี้ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
คหบดีทั้งหลาย เพราะการประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบเป็นเหตุ สัตว์บางพวกในกรณีนี้ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
คหบดีทั้งหลาย เพราะการประพฤติธรรม และการประพฤติสงบเป็นเหตุ สัตว์บางพวกในกรณีนี้ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตที่กล่าวแล้วโดยย่อนี้ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายยังไม่รู้ทั่วถึงเนื้อความโดยพิสดาร สาธุ พระโคดมผู้เจริญ โปรดแสดงธรรมโดยประการที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะพึงรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตที่กล่าวแล้วโดยย่อนี้ได้โดยพิสดารเถิด.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
คหบดีทั้งหลาย การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางกายมี ๓ อย่าง การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางวาจามี ๔ อย่าง การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางใจมี ๓ อย่าง.
คหบดีทั้งหลาย ก็การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางกายมี ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ คหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้ปกติฆ่าสัตว์มีชีวิต หยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต.
๒) เป็นผู้ปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของไม่ได้ให้ คือ ถือเอาวัตถุอันเป็นอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่าก็ตาม ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย.
๓) เป็นผู้ปกติประพฤติผิดในกาม คือ ประพฤติผิดในหญิงที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษา พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา หรือธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงที่เขาหมั้นไว้ด้วยการคล้องพวงมาลัย เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น.
คหบดีทั้งหลาย เหล่านี้แล การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางกาย ๓ อย่าง.
คหบดีทั้งหลาย ก็การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางวาจามี ๔ อย่างอะไรบ้าง คือ คหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้ปกติพูดเท็จ คือ เขาอยู่ในสภาก็ดี อยู่ในบริษัทก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ชนก็ดี อยู่ในท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น ดังนี้ บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวไม่เห็น เพราะเหตุแห่งตนเอง เพราะเหตุแห่งผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อยใดๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่.
๒) เป็นผู้ปกติพูดส่อเสียด คือ ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกัน หรือทำคนที่แตกกันแล้วให้แตกกันยิ่งขึ้น เป็นผู้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในความแตกแยกกัน เป็นผู้กล่าววาจาที่ทำให้แตกแยกกัน.
๓) เป็นผู้ปกติพูดคำหยาบ คือ กล่าววาจาที่หยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ดต่อผู้อื่น กระทบกระเทียบผู้อื่น แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น.
๔) เป็นผู้ปกติพูดเพ้อเจ้อ คือ เป็นผู้พูดไม่ถูกกาล พูดคำที่ไม่เป็นจริง พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พูดไม่อิงธรรม พูดไม่อิงวินัย คำพูดที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้างอิง ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์.
คหบดีทั้งหลาย เหล่านี้แล การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางวาจา ๔ อย่าง.
คหบดีทั้งหลาย ก็การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางใจมี ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ คหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้มีอภิชฌา (ความเพ่งเล็งทรัพย์) คือ เป็นผู้เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่นว่า โอหนอ สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา ดังนี้.
๒) เป็นผู้มีจิตพยาบาท คือ มีความดำริแห่งใจอันเป็นไปในทางประทุษร้ายว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงถูกฆ่า จงถูกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีชีวิตอยู่เลย ดังนี้.
๓) เป็นผู้มีความเห็นผิด คือ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามไม่มี ดังนี้.
คหบดีทั้งหลาย เหล่านี้แล การประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบทางใจ ๓ อย่าง.
คหบดีทั้งหลาย เพราะการประพฤติอธรรม และการประพฤติไม่สงบเป็นเหตุอย่างนี้แล สัตว์บางพวกในกรณีนี้ ภายหลังจากการตายเพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
คหบดีทั้งหลาย การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางกายมี ๓ อย่าง การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางวาจามี ๔ อย่าง การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางใจมี ๓ อย่าง.
คหบดีทั้งหลาย ก็การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางกายมี ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ คหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้ละการฆ่าสัตว์มีชีวิต เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต คือ วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดู มีความกรุณา หวังความเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่.
๒) เป็นผู้ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ คือ ไม่ถือเอาวัตถุอันเป็นอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่าก็ตามที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย.
๓) เป็นผู้ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม คือ เว้นจากการประพฤติผิดในหญิงที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษา พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา หรือธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงที่เขาหมั้นไว้ด้วยการคล้องพวงมาลัย ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น.
คหบดีทั้งหลาย เหล่านี้แล การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางกาย ๓ อย่าง.
คหบดีทั้งหลาย การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางวาจามี ๔ อย่างอะไรบ้าง คือ คหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ เขาอยู่ในสภาก็ดี อยู่ในบริษัทก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ชนก็ดี อยู่ในท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น ดังนี้ บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อยใดๆ ก็เป็นผู้ไม่กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่.
๒) เป็นผู้ละการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด คือ ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่นำไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่นำมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับสามัคคีกัน ส่งเสริมคนที่สามัคคีกันอยู่ให้สามัคคีกันยิ่งขึ้น เป็นผู้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในความสามัคคีกัน เป็นผู้กล่าวแต่วาจาที่ทำให้คนสามัคคีกัน.
๓) เป็นผู้ละการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากพูดคำหยาบ คือ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่รักใคร่ที่พอใจของมหาชน เป็นผู้กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่.
๔) เป็นผู้ละการพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคำที่มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา.
คหบดีทั้งหลาย เหล่านี้แล การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางวาจา ๔ อย่าง.
คหบดีทั้งหลาย ก็การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางใจมี ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ คหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้ไม่มีอภิชฌา คือ เป็นผู้ไม่เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่นว่า โอหนอ สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา ดังนี้.
๒) เป็นผู้ไม่มีจิตพยาบาท คือ มีความดำริแห่งใจอันไม่ไปทางประทุษร้ายว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีความทุกข์ มีความสุข รักษาตนอยู่เถิด ดังนี้.
๓) เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง คือ มีความเห็นไม่วิปริตว่า ทานที่ให้แล้วมี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วมี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วมี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี โลกนี้มี โลกอื่นมี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามก็มี ดังนี้.
คหบดีทั้งหลาย เหล่านี้แล การประพฤติธรรม และการประพฤติสงบทางใจ ๓ อย่าง
คหบดีทั้งหลาย เพราะการประพฤติธรรม และประพฤติสงบเป็นเหตุอย่างนี้แล สัตว์บางพวกในกรณีนี้ ภายหลังจากการตายเพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งกษัตริย์มหาศาลเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งกษัตริย์มหาศาล ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพราหมณ์มหาศาลเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพราหมณ์มหาศาล ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งคหบดีมหาศาลเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งคหบดีมหาศาล ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์เถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิตเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดีเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหมกายิกาเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหมกายิกา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอาภาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปริตตาภาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอัปปมาณาภาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอาภัสสราเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นสุภาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปริตตสุภาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอัปปมาณสุภาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นสุภกิณหาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นเวหัปผลาเถิด … ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นเวหัปผลา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอวิหาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอตัปปาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นสุทัสสาเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นสุทัสสีเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอกนิฏฐาเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอกนิฏฐา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนภพเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนภพเถิด … เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย บุคคลนั้นจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นอกนิฏฐา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
คหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลประพฤติธรรม และประพฤติสงบ จะพึงหวังว่า โอหนอ เราพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงแล้วแลอยู่เถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ บุคคลก็จะพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงแล้วแลอยู่ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม และประพฤติสงบ.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์คหบดีชาวหมู่บ้านสาละ ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีตาดีจะได้มองเห็นรูป ดังนี้ ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรม และทั้งพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพเจ้าทั้งหลายว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
-บาลี มู. ม. 12/519/483.
https://84000.org/tipitaka/pali/?12//519
https://etipitaka.com/read/pali/12/519
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was wandering in the land of the Kosalans together with a large Saṅgha of mendicants when he arrived at a village of the Kosalan brahmins named Sālā.
The brahmins and householders of Sālā heard, “It seems the ascetic Gotama—a Sakyan, gone forth from a Sakyan family—while wandering in the land of the Kosalans has arrived at Sālā, together with a large Saṅgha of mendicants. He has this good reputation: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’ He has realized with his own insight this world—with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—and he makes it known to others. He proclaims a teaching that is good in the beginning, good in the middle, and good in the end, with the right meaning and phrasing. He reveals an entirely full and pure spiritual life. It’s good to see such perfected ones.”
Then the brahmins and householders of Sālā went up to the Buddha. Before sitting down to one side, some bowed, some exchanged greetings and polite conversation, some held up their joined palms toward the Buddha, some announced their name and clan, while some kept silent. Seated to one side they said to the Buddha:
“What is the cause, Master Gotama, what is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell? And what is the cause, Master Gotama, what is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a good place, a heavenly realm?”
“Unprincipled and immoral conduct is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. Principled and moral conduct is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a good place, a heavenly realm.”
“We don’t understand the detailed meaning of Master Gotama’s brief statement. Master Gotama, please teach us this matter in detail so we can understand the meaning.”
“Well then, householders, listen and pay close attention, I will speak.”
“Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:
“Householders, unprincipled and immoral conduct is threefold by way of body, fourfold by way of speech, and threefold by way of mind.
And how is unprincipled and immoral conduct threefold by way of body? It’s when a certain person kills living creatures. They’re violent, bloody-handed, a hardened killer, merciless to living beings.
They steal. With the intention to commit theft, they take the wealth or belongings of others from village or wilderness.
They commit sexual misconduct. They have sexual relations with women who have their mother, father, both mother and father, brother, sister, relatives, or clan as guardian. They have sexual relations with a woman who is protected on principle, or who has a husband, or whose violation is punishable by law, or even one who has been garlanded as a token of betrothal. This is how unprincipled and immoral conduct is threefold by way of body.
And how is unprincipled and immoral conduct fourfold by way of speech? It’s when a certain person lies. They’re summoned to a council, an assembly, a family meeting, a guild, or to the royal court, and asked to bear witness: ‘Please, mister, say what you know.’ Not knowing, they say ‘I know.’ Knowing, they say ‘I don’t know.’ Not seeing, they say ‘I see.’ And seeing, they say ‘I don’t see.’ So they deliberately lie for the sake of themselves or another, or for some trivial worldly reason.
They speak divisively. They repeat in one place what they heard in another so as to divide people against each other. And so they divide those who are harmonious, supporting division, delighting in division, loving division, speaking words that promote division.
They speak harshly. They use the kinds of words that are cruel, nasty, hurtful, offensive, bordering on anger, not leading to immersion.
They talk nonsense. Their speech is untimely, and is neither factual nor beneficial. It has nothing to do with the teaching or the training. Their words have no value, and are untimely, unreasonable, rambling, and pointless. This is how unprincipled and immoral conduct is fourfold by way of speech.
And how is unprincipled and immoral conduct threefold by way of mind? It’s when a certain person is covetous. They covet the wealth and belongings of others: ‘Oh, if only their belongings were mine!’
They have ill will and malicious intentions: ‘May these sentient beings be killed, slaughtered, slain, destroyed, or annihilated!’
They have wrong view. Their perspective is distorted: ‘There’s no meaning in giving, sacrifice, or offerings. There’s no fruit or result of good and bad deeds. There’s no afterlife. There’s no obligation to mother and father. No beings are reborn spontaneously. And there’s no ascetic or brahmin who is well attained and practiced, and who describes the afterlife after realizing it with their own insight.’ This is how unprincipled and immoral conduct is threefold by way of mind.
That’s how unprincipled and immoral conduct is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.
Householders, principled and moral conduct is threefold by way of body, fourfold by way of speech, and threefold by way of mind.
And how is principled and moral conduct threefold by way of body? It’s when a certain person gives up killing living creatures. They renounce the rod and the sword. They’re scrupulous and kind, living full of compassion for all living beings.
They give up stealing. They don’t, with the intention to commit theft, take the wealth or belongings of others from village or wilderness.
They give up sexual misconduct. They don’t have sexual relations with women who have their mother, father, both mother and father, brother, sister, relatives, or clan as guardian. They don’t have sexual relations with a woman who is protected on principle, or who has a husband, or whose violation is punishable by law, or even one who has been garlanded as a token of betrothal. This is how principled and moral conduct is threefold by way of body.
And how is principled and moral conduct fourfold by way of speech? It’s when a certain person gives up lying. They’re summoned to a council, an assembly, a family meeting, a guild, or to the royal court, and asked to bear witness: ‘Please, mister, say what you know.’ Not knowing, they say ‘I don’t know.’ Knowing, they say ‘I know.’ Not seeing, they say ‘I don’t see.’ And seeing, they say ‘I see.’ So they don’t deliberately lie for the sake of themselves or another, or for some trivial worldly reason.
They give up divisive speech. They don’t repeat in one place what they heard in another so as to divide people against each other. Instead, they reconcile those who are divided, supporting unity, delighting in harmony, loving harmony, speaking words that promote harmony.
They give up harsh speech. They speak in a way that’s mellow, pleasing to the ear, lovely, going to the heart, polite, likable, and agreeable to the people.
They give up talking nonsense. Their words are timely, true, and meaningful, in line with the teaching and training. They say things at the right time which are valuable, reasonable, succinct, and beneficial. This is how principled and moral conduct is fourfold by way of speech.
And how is principled and moral conduct threefold by way of mind? It’s when a certain person is not covetous. They don’t covet the wealth and belongings of others: ‘Oh, if only their belongings were mine!’
They have a kind heart and loving intentions: ‘May these sentient beings live free of enmity and ill will, untroubled and happy!’
They have right view, an undistorted perspective: ‘There is meaning in giving, sacrifice, and offerings. There are fruits and results of good and bad deeds. There is an afterlife. There is obligation to mother and father. There are beings reborn spontaneously. And there are ascetics and brahmins who are well attained and practiced, and who describe the afterlife after realizing it with their own insight.’ This is how principled and moral conduct is threefold by way of mind.
This is how principled and moral conduct is the reason why some sentient beings, when their body breaks up, after death, are reborn in a good place, a heavenly realm.
A person of principled and moral conduct might wish: ‘If only, when my body breaks up, after death, I would be reborn in the company of well-to-do aristocrats!’ It’s possible that this might happen. Why is that? Because they have principled and moral conduct.
A person of principled and moral conduct might wish: ‘If only, when my body breaks up, after death, I would be reborn in the company of well-to-do brahmins … well-to-do householders … the Gods of the Four Great Kings … the Gods of the Thirty-Three … the Gods of Yama … the Joyful Gods … the Gods Who Love to Create … the Gods Who Control the Creations of Others … the Gods of Brahmā’s Host … the Radiant Gods … the Gods of Limited Radiance … the Gods of Limitless Radiance … the Gods of Streaming Radiance … the Gods of Limited Glory … the Gods of Limitless Glory … the Gods Replete with Glory … the Gods of Abundant Fruit … the Gods of Aviha … the Gods of Atappa … the Gods Fair to See … the Fair Seeing Gods … the Gods of Akaniṭṭha … the gods of the dimension of infinite space … the gods of the dimension of infinite consciousness … the gods of the dimension of nothingness … the gods of the dimension of neither perception nor non-perception.’ It’s possible that this might happen. Why is that? Because they have principled and moral conduct.
A person of principled and moral conduct might wish: ‘If only I might realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and live having realized it with my own insight due to the ending of defilements.’ It’s possible that this might happen. Why is that? Because they have principled and moral conduct.”
When he had spoken, the brahmins and householders of Sālā said to the Buddha, “Excellent, Master Gotama! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with good eyes can see what’s there, Master Gotama has made the teaching clear in many ways. We go for refuge to Master Gotama, to the teaching, and to the mendicant Saṅgha. From this day forth, may Master Gotama remember us as lay followers who have gone for refuge for life.”
English translation by Bhikkhu Bodhi
Thus have I heard. On one occasion the Blessed One was wandering by stages in the Kosalan Country with a large Sangha of bhikkhus, and eventually he arrived at a Kosalan brahmin village named Sālā.
The brahmin householders of Sālā heard: “The recluse Gotama, the son of the Sakyans who went forth from a Sakyan clan, has been wandering in the Kosalan country with a large Sangha of bhikkhus and has come to Sālā. Now a good report of Master Gotama has been spread to this effect: ‘That Blessed One is accomplished, fully enlightened, perfect in true knowledge and conduct, sublime, knower of worlds, incomparable leader of persons to be tamed, teacher of gods and humans, enlightened, blessed. He declares this world with its gods, its Māras, and its Brahmās, this generation with its recluses and brahmins, its princes and its people, which he has himself realised with direct knowledge. He teaches the Dhamma good in the beginning, good in the middle, and good in the end, with the right meaning and phrasing, and he reveals a holy life that is utterly perfect and pure.’ Now it is good to see such arahants.”
Then the brahmin householders of Sālā went to the Blessed One. Some paid homage to the Blessed One and sat down at one side; some exchanged greetings with him, and when this courteous and amiable talk was finished, sat down at one side; some extended their hands in reverential salutation towards the Blessed One and sat down at one side; some pronounced their name and clan in the Blessed One’s presence and sat down at one side; some kept silent and sat down at one side.
When they were seated, they said to the Blessed One: “Master Gotama, what is the cause and condition why some beings here, on the dissolution of the body, after death, reappear in states of deprivation, in an unhappy destination, in perdition, even in hell? And what is the cause and condition why some beings here, on the dissolution of the body, after death, reappear in a happy destination, even in the heavenly world?”
“Householders, it is by reason of conduct not in accordance with the Dhamma, by reason of unrighteous conduct that some beings here, on the dissolution of the body, after death, reappear in states of deprivation, in an unhappy destination, in perdition, even in hell. It is by reason of conduct in accordance with the Dhamma, by reason of righteous conduct that some beings here, on the dissolution of the body, after death, reappear in a happy destination, even in the heavenly world.”
“We do not understand the detailed meaning of Master Gotama’s utterance, which he has spoken in brief without expounding the detailed meaning. It would be good if Master Gotama would teach us the Dhamma so that we might understand the detailed meaning of his utterance.”
“Then, householders, listen and attend closely to what I shall say.”
“Yes, venerable sir,” they replied. The Blessed One said this:
“Householders, there are three kinds of bodily conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct. There are four kinds of verbal conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct. There are three kinds of mental conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct.
“And how, householders, are there three kinds of bodily conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct? Here someone kills living beings; he is murderous, bloody-handed, given to blows and violence, merciless to living beings. He takes what is not given; he takes by way of theft the wealth and property of others in the village or forest. He misconducts himself in sensual pleasures; he has intercourse with women who are protected by their mother, father, mother and father, brother, sister, or relatives, who have a husband, who are protected by law, and even with those who are garlanded in token of betrothal. That is how there are three kinds of bodily conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct.
“And how, householders, are there four kinds of verbal conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct? Here someone speaks falsehood; when summoned to a court, or to a meeting, or to his relatives’ presence, or to his guild, or to the royal family’s presence, and questioned as a witness thus: ‘So, good man, tell what you know,’ not knowing, he says, ‘I know,’ or knowing, he says, ‘I do not know’; not seeing, he says, ‘I see,’ or seeing, he says, ‘I do not see’; in full awareness he speaks falsehood for his own ends, or for another’s ends, or for some trifling worldly end. He speaks maliciously; he repeats elsewhere what he has heard here in order to divide those people from these, or he repeats to these people what he has heard elsewhere in order to divide these people from those; thus he is one who divides those who are united, a creator of divisions, who enjoys discord, rejoices in discord, delights in discord, a speaker of words that create discord. He speaks harshly; he utters such words as are rough, hard, hurtful to others, offensive to others, bordering on anger, unconducive to concentration. He is a gossip; he speaks at the wrong time, speaks what is not fact, speaks what is useless, speaks contrary to the Dhamma and the Discipline; at the wrong time he speaks such words as are worthless, unreasonable, immoderate, and unbeneficial. That is how there are four kinds of verbal conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct.
“And how, householders, are there three kinds of mental conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct? Here someone is covetous; he covets the wealth and property of others thus: ‘Oh, may what belongs to another be mine!’ Or he has a mind of ill will and intentions of hate thus: ‘May these beings be slain and slaughtered, may they be cut off, perish, or be annihilated!’ Or he has wrong view, distorted vision, thus: ‘There is nothing given, nothing offered, nothing sacrificed; no fruit or result of good and bad actions; no this world, no other world; no mother, no father; no beings who are reborn spontaneously; no good and virtuous recluses and brahmins in the world who have themselves realised by direct knowledge and declare this world and the other world.’ That is how there are three kinds of mental conduct not in accordance with the Dhamma, unrighteous conduct. So, householders, it is by reason of such conduct not in accordance with the Dhamma, by reason of such unrighteous conduct that some beings here on the dissolution of the body, after death, reappear in states of deprivation, in an unhappy destination, in perdition, even in hell.
“Householders, there are three kinds of bodily conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct. There are four kinds of verbal conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct. There are three kinds of mental conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct.
“And how, householders, are there three kinds of bodily conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct? Here someone, abandoning the killing of living beings, abstains from killing living beings; with rod and weapon laid aside, gentle and kindly, he abides compassionate to all living beings. Abandoning the taking of what is not given, he abstains from taking what is not given; he does not take by way of theft the wealth and property of others in the village or in the forest. Abandoning misconduct in sensual pleasures, he abstains from misconduct in sensual pleasures; he does not have intercourse with women who are protected by their mother, father, mother and father, brother, sister, or relatives, who have a husband, who are protected by law, or with those who are garlanded in token of betrothal. That is how there are three kinds of bodily conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct.
“And how, householders, are there four kinds of verbal conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct? Here someone, abandoning false speech, abstains from false speech; when summoned to a court, or to a meeting, or to his relatives’ presence, or to his guild, or to the royal family’s presence, and questioned as a witness thus: ‘So, good man, tell what you know,’ not knowing, he says, ‘I do not know,’ or knowing, he says, ‘I know’; not seeing, he says, ‘I do not see,’ or seeing, he says, ‘I see’; he does not in full awareness speak falsehood for his own ends, or for another’s ends, or for some trifling worldly end. Abandoning malicious speech, he abstains from malicious speech; he does not repeat elsewhere what he has heard here in order to divide those people from these, nor does he repeat to these people what he has heard elsewhere in order to divide these people from those; thus he is one who reunites those who are divided, a promoter of friendships, who enjoys concord, rejoices in concord, delights in concord, a speaker of words that promote concord. Abandoning harsh speech, he abstains from harsh speech; he speaks such words as are gentle, pleasing to the ear, and loveable, as go to the heart, are courteous, desired by many, and agreeable to many. Abandoning gossip, he abstains from gossip; he speaks at the right time, speaks what is fact, speaks on what is good, speaks on the Dhamma and the Discipline; at the right time he speaks such words as are worth recording, reasonable, moderate, and beneficial. That is how there are four kinds of verbal conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct.
“And how, householders, are there three kinds of mental conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct? Here someone is not covetous; he does not covet the wealth and property of others thus: ‘Oh, may what belongs to another be mine!’ His mind is without ill will and he has intentions free from hate thus: ‘May these beings be free from enmity, affliction and anxiety! May they live happily!’ He has right view, undistorted vision, thus: ‘There is what is given and what is offered and what is sacrificed; there is fruit and result of good and bad actions; there is this world and the other world; there is mother and father; there are beings who are reborn spontaneously; there are good and virtuous recluses and brahmins in the world who have themselves realised by direct knowledge and declare this world and the other world.’ That is how there are three kinds of mental conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct. So, householders, it is by reason of such conduct in accordance with the Dhamma, by reason of such righteous conduct that some beings here, on the dissolution of the body, after death, reappear in a happy destination, even in the heavenly world.
“If, householders, one who observes conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct, should wish: ‘Oh, that on the dissolution of the body, after death, I might reappear in the company of well-to-do nobles!’ it is possible that, on the dissolution of the body, after death, he will reappear in the company of well-to-do nobles. Why is that? Because he observes conduct that is in accordance with the Dhamma, righteous conduct.
“If, householders, one who observes conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct, should wish: ‘Oh, that on the dissolution of the body, after death, I might reappear in the company of well-to-do brahmins!…in the company of well-to-do householders!’ it is possible that, on the dissolution of the body, after death, he will reappear in the company of well-to-do householders. Why is that? Because he observes conduct that is in accordance with the Dhamma, righteous conduct.
“If, householders, one who observes conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct, should wish: ‘Oh, that on the dissolution of the body, after death, I might reappear in the company of the gods of the heaven of the Four Great Kings!…in the company of the gods of the heaven of the Thirty-three…the Yāma gods…the gods of the Tusita heaven…the gods who delight in creating…the gods who wield power over others’ creations…the gods of Brahmā’ s retinue…the gods of Radiance …the gods of Limited Radiance…the gods of Immeasurable Radiance…the gods of Streaming Radiance…the gods of Glory…the gods of Limited Glory…the gods of Immeasurable Glory…the gods of Refulgent Glory…the gods of Great Fruit…the Aviha gods…the Atappa gods…the Sudassa gods…the Sudassī gods…the Akaniṭṭha gods…the gods of the base of infinite space…the gods of the base of infinite consciousness…the gods of the base of nothingness…the gods of the base of neither-perception-nor-non-perception!’ it is possible that on the dissolution of the body, after death, he will reappear in the company of the gods of the base of neither-perception-nor-non-perception. Why is that? Because he observes conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct.
“If, householders, one who observes conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct, should wish: ‘Oh, that by realising for myself with direct knowledge I might here and now enter upon and abide in the deliverance of mind and deliverance by wisdom that are taintless with the destruction of the taints!’ it is possible that, by realising for himself with direct knowledge, he will here and now enter upon and abide in the deliverance of mind and deliverance by wisdom that are taintless with the destruction of the taints. Why is that? Because he observes conduct in accordance with the Dhamma, righteous conduct.”
When this was said, the brahmin householders of Sālā said to the Blessed One: “Magnificent, Master Gotama! Magnificent, Master Gotama! Master Gotama has made the Dhamma clear in many ways, as though he were turning upright what had been overthrown, revealing what was hidden, showing the way to one who was lost, or holding up a lamp in the darkness for those with eyesight to see forms. We go to Master Gotama for refuge and to the Dhamma and to the Sangha of bhikkhus. From today let Master Gotama accept us as lay followers who have gone to him for refuge for life.”
English translation by Suddhāso Bhikkhu
Thus have I heard. On one occasion the Prosperous One was traveling among the Kosalans, together with a large group of monks. He came to a brahmin village of Kosala, named Sālā. The brahmin householders of Sālā heard, “Apparently the contemplative Gotama, a child of the Sakyan clan who became a renunciant, is traveling among the Kosalans together with a large group of monks, and has arrived at Sālā. A good rumor has been circulated about that honorable Gotama: ‘The Prosperous One is a Worthy One, a Rightly Self-Awakened One; he has perfect knowledge and behavior; he is a Sublime One, a world-knower, an unsurpassed trainer of trainable people, a teacher of angels and humans, an Awakened One, a Prosperous One. He makes known this world with its angels, demons, divinities, contemplatives, priests, its celestial beings and its human beings, having personally realized it with his own superior knowledge. He teaches a Dhamma that is good in the beginning, good in the middle, and good in its conclusion, with the right meaning and phrasing. He demonstrates a spiritual life that is completely thorough and completely pure.’ It is good to see such Worthy Ones.”
Then the brahmin householders of Sālā approached the Prosperous One. Some paid respects to the Prosperous One and sat to one side; some conversed with him and sat to one side when the appropriate polite conversation was finished; some held up their hands in añjali and sat to one side; some announced their name and clan and sat to one side; and some remained silent and sat to one side.
When they were seated to one side, the brahmin householders of Sālā said to the Prosperous One, “Sir Gotama, what is the reason, what is the condition, because of which, when some beings are separated from their bodies after death, they reappear in a state of deprivation, a bad destination, downfall, hell? Sir Gotama, what is the reason, what is the condition, because of which, when some beings are separated from their bodies after death, they reappear in a good destination, a heavenly world?”
“Householders, it is because of behavior contrary to Dhamma, behavior contrary to peace, that when some beings are separated from their bodies after death, they reappear in a state of deprivation, a bad destination, downfall, hell. Householders, it is because of behavior consistent with Dhamma, behavior consistent with peace, that when some beings are separated from their bodies after death, they reappear in a good destination, a heavenly world.”
“We do not understand the full meaning of Sir Gotama‘s brief statement, that was spoken without an explanation of its full meaning. It would be good if Sir Gotama taught us the Dhamma, such that we might understand the full meaning of Sir Gotama‘s brief statement that was spoken without an explanation of its full meaning.”
“Therefore, householders, listen well, and pay attention. I will speak.”
“Yes, sir,” the brahmin householders of Sālā replied to the Blessed One. The Blessed One said this:
Causes for Rebirth in Hell
“Householders, there are three kinds of physical behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace. There are four kinds of verbal behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace. There are three kinds of mental behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace.
“Householders, what are the three kinds of physical behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace?
“Here, householders, someone is a killer, violent, bloody-handed, settled in harming and killing, merciless towards living beings.
“One is a taker of what is not given; one steals what belongs to others, whether in a village or a wilderness, when it has not been given to them.
“One is a performer of sexual misconduct; one engages in sexual activity with those who are protected by mother, father, parents, brother, sister, relative, family, Dhamma, spouse, law, or betrothal.
“Householders, these are the three kinds of physical behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace.
“Householders, what are the four kinds of verbal behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace?
“Here, householders, someone is a liar. When one is brought to an assembly, a forum, a group of relatives, a group of businesspeople, or to a royal family, and is asked about what one has seen: ‘Come, person, say what you know,’ when one does not know one says ‘I know,’ and when one knows one says ‘I do not know,’ when one does not see one says ‘I see,’ when one sees one says ‘I do not see.’ Thus for one‘s own sake, or for another‘s sake, or for the sake of a little bit of profit, one knowingly speaks falsely.
“One is a speaker of divisive speech. What one has heard here one reports over there in order to create division, and what one has heard over there one reports over here in order to create division. Thus one separates those who are united, worsens divisions, enjoys conflict, likes conflict, delights in conflict, and speaks in ways that create conflict.
“One is a speaker of harsh speech. Speech which is sharp, rough, hurtful, abusive, angry, and contributes to distraction1 – this is the kind of speech which one speaks.
“One is a speaker of useless speech. One speaks at the wrong time; one speaks untruthfully; one speaks unbeneficially; one says things that are not Dhamma; one says things that are not Vinaya. One says things that are not worth treasuring, at the wrong time, unreasonably, immoderately, without any connection to the goal.
“Householders, these are the four kinds of verbal behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace.
“Householders, what are the three kinds of mental behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace?
“Here, householders, someone is covetous. One covets other people‘s possessions, thinking ‘Oh, if only what was theirs was mine!’
“One has an aversive mind with hostile thoughts, such as ‘May these beings be killed or injured or maimed or lost! They should not exist!’
“One has wrong beliefs and distorted perspectives, such as: ‘There is no gift, no offering, no donation. There is no result or consequence of good deeds or bad deeds. There is no world other than this one. There is no mother and no father. There are no beings who appear without undergoing birth. There are no contemplatives or priests in this world who are on the right path and are practicing correctly, such that they explain both this world and other worlds based on their own direct knowledge.’
“Householders, these are the three kinds of mental behavior that are contrary to Dhamma and contrary to peace.
“Thus, householders, it is because of behavior contrary to Dhamma, behavior contrary to peace, that when some beings are separated from their bodies after death, they reappear in a state of deprivation, a bad destination, downfall, hell.
Causes for Rebirth in Heaven
“Householders, there are three kinds of physical behavior that are consistent with Dhamma and are consistent with peace. There are four kinds of verbal behavior that are consistent with Dhamma and are consistent with peace. There are three kinds of mental behavior that are consistent with Dhamma and are consistent with peace.
“Householders, what are the three kinds of physical behavior that are consistent with Dhamma and are consistent with peace?
“Here, householders, someone gives up killing, refrains from killing; they put down their cudgels and knives, they live carefully, sympathetically, compassionate for the welfare of all living beings.
“One gives up taking what is not given, refrains from taking what is not given. One does not steal what belongs to others, whether in a village or a wilderness, when it has not been given to them.
“One gives up sexual misconduct, refrains from sexual misconduct; one does not engage in sexual activity with those who are protected by mother, father, parents, brother, sister, relative, family, Dhamma, spouse, law, or betrothal.
“Householders, what are the four kinds of verbal behavior that are consistent with Dhamma and are consistent with peace?
“Here, householders, someone gives up lying, refrains from lying. When one is brought to an assembly, a forum, a group of relatives, a group of businesspeople, or to a royal family, and is asked about what one has seen: ‘Come, person, say what you know,’ when one does not know one says ‘I do not know,’ and when one knows one says ‘I know,’ when one does not see one says ‘I do not see,’ when one sees one says ‘I see.’ Thus one does not knowingly speak falsely, whether for one‘s own sake, or for another‘s sake, or for the sake of a little bit of profit.
“One gives up divisive speech, refrains from divisive speech. . What one has heard here one does not report over there in order to create division, and what one has heard over there one does not report over here in order to create division. Thus one unites those who are divided, strengthens concord, enjoys harmony, likes harmony, delights in harmony, and speaks in ways that create harmony.
“One gives up harsh speech, refrains from harsh speech. Speech which is polite, pleasing to the ear, lovable, heart-touching, humane, appealing to many, enjoyable to many – this is the kind of speech which one speaks.
“One gives up useless speech, refrains from useless speech. One speaks at the right time; one speaks truthfully; one speaks beneficially; one speaks about Dhamma; one speaks about Vinaya. One says things that are worth treasuring, at the right time, reasonably, moderately, connected with the goal.
“Householders, these are the four kinds of verbal behavior that are consistent with Dhamma and are consistent with peace.
“Householders, what are the three kinds of mental behavior that are consistent with Dhamma and are consistent with peace?
“Here, householders, someone is not covetous. One does not covet other people‘s possessions by thinking ‘Oh, if only what was theirs was mine!’
“One has a non-aversive mind with non-hostile thoughts, such as ‘May these beings be unthreatened, unharmed, untroubled, and constantly happy!’
“One has right beliefs and undistorted perspectives, such as: ‘There are gifts, offerings, and donations. There are results and consequences of good deeds and bad deeds. There are worlds other than this one. There is mother and father. There are beings who appear without undergoing birth. There are contemplatives and priests in this world who are on the right path and are practicing correctly, such that they explain both this world and other worlds based on their own direct knowledge.’
“Householders, these are the three kinds of mental behavior that are consistent with Dhamma and are consistent with peace.
“Thus, householders, it is because of behavior consistent with Dhamma, behavior consistent with peace, that when some beings are separated from their bodies after death, they reappear in a good destination, a heavenly world.”
Deciding One‘s Rebirth
“Householders, if one who behaves consistent with Dhamma and consistent with peace wishes, ‘When I am separated from my body after death, may I reappear as a wealthy aristocrat,’ then it is possible that when they are separated from their body after death, they may reappear as a wealthy aristocrat. For what reason? Because they behave consistent with Dhamma and consistent with peace.
“Householders, if one who behaves consistent with Dhamma and consistent with peace wishes, ‘When I am separated from my body after death, may I reappear as a wealthy brahmin… a wealthy householder… an angel of the Four Great Kings… an angel of the Thirty-Three… a Yāma2 angel… an angel of Contentment… an angel of Delight in Creating… an angel of Controlling Other‘s Creations… a Brahma angel… an angel of Luminosity… an angel of Limited Luminosity… an angel of Immeasurable Luminosity… an angel of Luminous Motion… an angel of Limited Radiance… an angel of Immeasurable Radiance… an angel of Radiant Suffusion… an angel of Abundant Fruit… an angel of Aviha… an angel of Atappa… an angel of Sudassa… an angel of Sudassi… an angel of Akaniṭṭha… an angel of the dimension of infinite space… an angel of the dimension of infinite consciousness… an angel of the dimension of nothingness… an angel of the dimension of neither perception nor non-perception,’ then it is possible that when they are separated from their body after death, they may reappear as an angel of the dimension of neither perception nor non-perception. For what reason? Because they behave consistent with Dhamma and consistent with peace.
“Householders, if one who behaves consistent with Dhamma and consistent with peace wishes, ‘Based on the elimination of my corruptions, may I reach and remain in the immediately visible state of the corruption-free mental liberation by wisdom, having personally realized it with my own higher knowledge,’ then it is possible that, based on the elimination of their corruptions, they will reach and remain in the immediately visible state of the corruption-free mental liberation by wisdom, having personally realized it with their own higher knowledge. For what reason? Because they behave consistent with Dhamma and consistent with peace.”
When this was said, the brahmin householders of Sālā said to the Prosperous One, “Magnificent, Sir Gotama, magnificent, Sir Gotama! Sir Gotama, just like one might set upright what was upside down, or reveal what was hidden, or explain the path to one who is confused, or bring an oil lamp into darkness so those with eyes can see, in the same way the Dhamma has been revealed in many ways by Sir Gotama. We go to Sir Gotama for refuge, and to the Dhamma, and to the monastic community. May Sir Gotama remember us as lay devotees who today have taken refuge for the rest of their lives.”