อกุศลกรรมบถ ๑๐ และ กุศลกรรมบถ ๑๐
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร เขตเมืองปาวา ครั้งนั้น นายจุนทกัมมารบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะนายจุนทกัมมารบุตรว่า
จุนทะ เธอชอบใจความสะอาดของใครหนอ.
นายจุนทกัมมารบุตรทูลว่า ภันเต พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย ผู้บำเรอไฟ ผู้ลงน้ำเป็นวัตร ย่อมบัญญัติความสะอาดไว้ ข้าพระองค์ชอบใจความสะอาดของพราหมณ์พวกนั้น.
จุนทะ ก็พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย ผู้บำเรอไฟ ผู้ลงน้ำเป็นวัตร ย่อมบัญญัติความสะอาดไว้อย่างไรเล่า.
ภันเต ในกรณีนี้ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย ผู้บำเรอไฟ ผู้ลงน้ำเป็นวัตร ย่อมชักชวนสาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า มาเถิด บุรุษผู้เจริญ ท่านควรลุกขึ้นจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่ พึงจับต้องแผ่นดิน ถ้าไม่จับต้องแผ่นดิน พึงจับต้องโคมัยสด ถ้าไม่จับต้องโคมัยสด พึงจับต้องหญ้าเขียวสด ถ้าไม่จับต้องหญ้าเขียวสด พึงบำเรอไฟ ถ้าไม่บำเรอไฟ พึงประนมมือไหว้พระอาทิตย์ ถ้าไม่ประนมมือไหว้พระอาทิตย์ พึงลงน้ำ ๓ ครั้ง ทั้งเวลาเย็นและเวลาเช้า ดังนี้.
ภันเต พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย ผู้บำเรอไฟ ผู้ลงน้ำเป็นวัตร ย่อมบัญญัติความสะอาดไว้อย่างนี้แล ข้าพระองค์ชอบใจความสะอาดของพราหมณ์พวกนั้น.
จุนทะ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย ผู้บำเรอไฟ ผู้ลงน้ำเป็นวัตร บัญญัติความสะอาดไว้เป็นอย่างหนึ่ง ส่วนความสะอาดในอริยวินัยย่อมมีโดยประการอื่น.
ภันเต ก็ความสะอาดในอริยวินัยเป็นอย่างไรเล่า สาธุ ภันเต ความสะอาดในอริยวินัยย่อมมีด้วยประการใด ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ด้วยประการนั้นเถิด.
จุนทะ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
จุนทะ ความไม่สะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความไม่สะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความไม่สะอาดทางใจมี ๓ อย่าง.
จุนทะ ความไม่สะอาดทางกายมี ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ จุนทะ บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้มีปกติฆ่าสัตว์มีชีวิต หยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต.
๒) เป็นผู้มีปกติถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ คือ ถือเอาวัตถุอันเป็นอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่าก็ตามที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย.
๓) เป็นผู้มีปกติประพฤติผิดในกาม คือ ประพฤติผิดในหญิงที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษา พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา หรือธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงที่เขาหมั้นไว้ด้วยการคล้องพวงมาลัย เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น.
จุนทะ เหล่านี้แล ความไม่สะอาดทางกาย ๓ อย่าง.
จุนทะ ความไม่สะอาดทางวาจามี ๔ อย่างอะไรบ้าง คือ จุนทะ บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้มีปกติพูดเท็จ คือ เขาอยู่ในสภาก็ดี อยู่ในบริษัทก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ชนก็ดี อยู่ในท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น ดังนี้ บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เพราะเหตุแห่งตนเอง เพราะเหตุแห่งผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อยใดๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่.
๒) เป็นผู้พูดส่อเสียด คือ ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกัน หรือทำคนที่แตกกันแล้วให้แตกกันยิ่งขึ้น เป็นผู้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในความแตกแยกกัน เป็นผู้กล่าววาจาที่ทำให้แตกแยกกัน.
๓) เป็นผู้พูดคำหยาบ คือ กล่าววาจาที่หยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ดต่อผู้อื่น กระทบกระเทียบผู้อื่น แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น.
๔) เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ คือ เป็นผู้พูดไม่ถูกกาล พูดคำที่ไม่เป็นจริง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พูดไม่อิงธรรม พูดไม่อิงวินัย คำพูดไม่มีที่หลักฐาน ไม่มีที่อ้างอิง ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์.
จุนทะ เหล่านี้แล ความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อย่าง.
จุนทะ ความไม่สะอาดทางใจมี ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ จุนทะ บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้มีอภิชฌา (ความเพ่งเล็งทรัพย์) คือ เป็นผู้เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่นว่า โอหนอ สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา ดังนี้.
๒) เป็นผู้มีจิตพยาบาท คือ มีความดำริแห่งใจอันเป็นไปในทางประทุษร้ายว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงถูกฆ่า จงถูกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีชีวิตอยู่เลย ดังนี้.
๓) เป็นผู้มีความเห็นผิด คือ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามไม่มี ดังนี้.
จุนทะ เหล่านี้แล ความไม่สะอาดทางใจ ๓ อย่าง.
จุนทะ เหล่านี้แล เรียกว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ.
จุนทะ บุคคลผู้ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แม้จะจับต้องแผ่นดิน ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่จับต้องแผ่นดิน ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะจับต้องโคมัยสด ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่จับต้องโคมัยสด ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะจับต้องหญ้าเขียวสด ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่จับต้องหญ้าเขียวสด ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะประนมมือไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่ประนมมือไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะลงน้ำ ๓ ครั้งทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่ลงน้ำ ๓ ครั้งทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า ก็เป็นคนไม่สะอาดอยู่นั่นเอง จุนทะ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ เป็นความไม่สะอาด และเป็นเหตุให้เกิดความไม่สะอาด.
จุนทะ อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการเหล่านี้เป็นเหตุ นรกย่อมปรากฏ กำเนิดเดรัจฉานย่อมปรากฏ เปรตวิสัยย่อมปรากฏ หรือว่าทุคติใดๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.
จุนทะ ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง.
จุนทะ ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ จุนทะ บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้ละการฆ่าสัตว์มีชีวิต เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต คือ วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดู มีความกรุณา หวังความเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่.
๒) เป็นผู้ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ คือ ไม่ถือเอาวัตถุอันเป็นอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่าก็ตามที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย.
๓) เป็นผู้ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม คือ เว้นจากการประพฤติผิดในหญิงที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษา พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา หรือธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงที่เขาหมั้นไว้ด้วยการคล้องพวงมาลัย ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น.
จุนทะ เหล่านี้แล ความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง.
จุนทะ ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่างอะไรบ้าง คือ จุนทะ บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ เขาอยู่ในสภาก็ดี อยู่ในบริษัทก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี อยู่ในท่ามกลางหมู่ชนก็ดี อยู่ในท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น ดังนี้ บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อยใดๆ ก็เป็นผู้ไม่กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่.
๒) เป็นผู้ละการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด คือ ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่นำไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่นำมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับสามัคคีกัน ส่งเสริมคนที่สามัคคีกันอยู่ให้สามัคคีกันยิ่งขึ้น เป็นผู้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในความสามัคคีกัน เป็นผู้กล่าวแต่วาจาที่ทำให้คนสามัคคีกัน.
๓) เป็นผู้ละการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากพูดคำหยาบ คือ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่รักใคร่ที่พอใจของมหาชน เป็นผู้กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่.
๔) เป็นผู้ละการพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคำที่มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา.
จุนทะ เหล่านี้แล ความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง.
จุนทะ ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ จุนทะ บุคคลบางคนในกรณีนี้
๑) เป็นผู้ไม่มีอภิชฌา คือ เป็นผู้ไม่เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่นว่า โอหนอ สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา ดังนี้.
๒) เป็นผู้ไม่มีจิตพยาบาท คือ มีความดำริแห่งใจอันไม่ไปทางประทุษร้ายว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีความทุกข์ มีความสุข รักษาตนอยู่เถิด ดังนี้.
๓) เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง คือ มีความเห็นไม่วิปริตว่า ทานที่ให้แล้วมี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วมี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วมี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี โลกนี้มี โลกอื่นมี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามก็มี ดังนี้.
จุนทะ เหล่านี้แล ความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง.
จุนทะ เหล่านี้แล เรียกว่า กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ.
จุนทะ บุคคลผู้ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แม้จะจับต้องแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่จับต้องแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะจับต้องโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่จับต้องโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะจับต้องหญ้าเขียวสด ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่จับต้องหญ้าเขียวสด ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะประนมมือไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่ประนมมือไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะลงน้ำ ๓ ครั้งทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะไม่ลงน้ำ ๓ ครั้งทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า ก็เป็นคนสะอาดอยู่นั่นเอง จุนทะ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ เป็นความสะอาด และเป็นเหตุให้เกิดความสะอาด.
จุนทะ อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการเหล่านี้เป็นเหตุ เทวดาทั้งหลายจึงปรากฏ มนุษย์ทั้งหลายจึงปรากฏ หรือว่าสุคติใดๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.
ภันเต ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภันเต ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีตาดีจะได้มองเห็นรูป ดังนี้ พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภันเต ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับทั้งพระธรรม และทั้งพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
-บาลี ทสก. อํ. 24/283/165.
https://84000.org/tipitaka/pali/?24//283
https://etipitaka.com/read/pali/24/283
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Pāvā in Cunda the smith’s mango grove. Then Cunda the smith went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to him, “Cunda, whose purity do you believe in?”
“Sir, I believe in the purity advocated by the western brahmins draped with moss who carry pitchers, serve the sacred flame, and immerse themselves in water.”
“But Cunda, what kind of purity do these western brahmins advocate?”
“The western brahmins encourage their disciples like this: ‘Please, good people, rising early you should stroke the earth from your bed. If you don’t stroke the earth, stroke fresh cow dung. If you don’t stroke fresh cow dung, stroke green grass. If you don’t stroke green grass, serve the sacred flame. If you don’t serve the sacred flame, revere the sun with joined palms. If you don’t revere the sun with joined palms, immerse yourself in water three times, including the evening.’ The western brahmins advocate this kind of purity.”
“The purity advocated by the western brahmins is quite different from that in the training of the Noble One.”
“But what, Master Gotama, is purity in the training of the Noble One? Master Gotama, please teach me this.”
“Well then, brahmin, listen and pay close attention, I will speak.”
“Yes, sir,” Cunda replied. The Buddha said this:
“Cunda, impurity is threefold by way of body, fourfold by way of speech, and threefold by way of mind.
And how is impurity threefold by way of body? It’s when a certain person kills living creatures. They’re violent, bloody-handed, a hardened killer, merciless to living beings.
They steal. With the intention to commit theft, they take the wealth or belongings of others from village or wilderness.
They commit sexual misconduct. They have sexual relations with women who have their mother, father, both mother and father, brother, sister, relatives, or clan as guardian. They have sexual relations with a woman who is protected on principle, or who has a husband, or whose violation is punishable by law, or even one who has been garlanded as a token of betrothal.
This is the threefold impurity by way of body.
And how is impurity fourfold by way of speech? It’s when a certain person lies. They’re summoned to a council, an assembly, a family meeting, a guild, or to the royal court, and asked to bear witness: ‘Please, mister, say what you know.’ Not knowing, they say ‘I know.’ Knowing, they say ‘I don’t know.’ Not seeing, they say ‘I see.’ And seeing, they say ‘I don’t see.’ So they deliberately lie for the sake of themselves or another, or for some trivial worldly reason.
They speak divisively. They repeat in one place what they heard in another so as to divide people against each other. And so they divide those who are harmonious, supporting division, delighting in division, loving division, speaking words that promote division.
They speak harshly. They use the kinds of words that are cruel, nasty, hurtful, offensive, bordering on anger, not leading to immersion.
They talk nonsense. Their speech is untimely, and is neither factual nor beneficial. It has nothing to do with the teaching or the training. Their words have no value, and are untimely, unreasonable, rambling, and pointless. This is the fourfold impurity by way of speech.
And how is impurity threefold by way of mind? It’s when a certain person is covetous. They covet the wealth and belongings of others: ‘Oh, if only their belongings were mine!’
They have ill will and malicious intentions: ‘May these sentient beings be killed, slaughtered, slain, destroyed, or annihilated!’
They have wrong view. Their perspective is distorted: ‘There’s no meaning in giving, sacrifice, or offerings. There’s no fruit or result of good and bad deeds. There’s no afterlife. There’s no obligation to mother and father. No beings are reborn spontaneously. And there’s no ascetic or brahmin who is well attained and practiced, and who describes the afterlife after realizing it with their own insight.’ This is the threefold impurity by way of mind.
These are the ten ways of doing unskillful deeds. When you have these ten ways of doing unskillful deeds, then if you rise early, whether or not you stroke the earth from your bed, you’re still impure.
Whether or not you stroke fresh cow dung, you’re still impure.
Whether or not you stroke green grass, you’re still impure.
Whether or not you serve the sacred flame, you’re still impure.
Whether or not you revere the sun with joined palms, you’re still impure.
Whether or not you immerse yourself in water three times, you’re still impure. Why is that? These ten ways of doing unskillful deeds are impure and make things impure.
It’s because of those who do these ten kinds of unskillful deeds that hell, the animal realm, the ghost realm, or any other bad places are found.
Cunda, purity is threefold by way of body, fourfold by way of speech, and threefold by way of mind.
And how is purity threefold by way of body? It’s when a certain person gives up killing living creatures. They renounce the rod and the sword. They’re scrupulous and kind, living full of compassion for all living beings.
They give up stealing. They don’t, with the intention to commit theft, take the wealth or belongings of others from village or wilderness.
They give up sexual misconduct. They don’t have sexual relations with women who have their mother, father, both mother and father, brother, sister, relatives, or clan as guardian. They don’t have sexual relations with a woman who is protected on principle, or who has a husband, or whose violation is punishable by law, or even one who has been garlanded as a token of betrothal.
This is the threefold purity by way of body.
And how is purity fourfold by way of speech? It’s when a certain person gives up lying. They’re summoned to a council, an assembly, a family meeting, a guild, or to the royal court, and asked to bear witness: ‘Please, mister, say what you know.’ Not knowing, they say ‘I don’t know.’ Knowing, they say ‘I know.’ Not seeing, they say ‘I don’t see.’ And seeing, they say ‘I see.’ So they don’t deliberately lie for the sake of themselves or another, or for some trivial worldly reason.
They give up divisive speech. They don’t repeat in one place what they heard in another so as to divide people against each other. Instead, they reconcile those who are divided, supporting unity, delighting in harmony, loving harmony, speaking words that promote harmony.
They give up harsh speech. They speak in a way that’s mellow, pleasing to the ear, lovely, going to the heart, polite, likable and agreeable to the people.
They give up talking nonsense. Their words are timely, true, and meaningful, in line with the teaching and training. They say things at the right time which are valuable, reasonable, succinct, and beneficial.
This is the fourfold purity by way of speech.
And how is purity threefold by way of mind? It’s when a certain person is content. They don’t covet the wealth and belongings of others: ‘Oh, if only their belongings were mine!’
They have a kind heart and loving intentions: ‘May these sentient beings live free of enmity and ill will, untroubled and happy!’
They have right view, an undistorted perspective: ‘There is meaning in giving, sacrifice, and offerings. There are fruits and results of good and bad deeds. There is an afterlife. There is obligation to mother and father. There are beings reborn spontaneously. And there are ascetics and brahmins who are well attained and practiced, and who describe the afterlife after realizing it with their own insight.’
This is the threefold purity by way of mind.
These are the ten ways of doing skillful deeds. When you have these ten ways of doing skillful deeds, then if you rise early, whether or not you stroke the earth from your bed, you’re still pure.
Whether or not you stroke fresh cow dung, you’re still pure.
Whether or not you stroke green grass, you’re still pure.
Whether or not you serve the sacred flame, you’re still pure.
Whether or not you revere the sun with joined palms, you’re still pure.
Whether or not you immerse yourself in water three times, you’re still pure. Why is that? These ten ways of doing skillful deeds are pure and make things pure.
It’s because of those who do these ten kinds of skillful deeds that gods, humans, or any other good places are found.”
When he said this, Cunda the smith said to the Buddha, “Excellent, sir! Excellent! … From this day forth, may the Buddha remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.”
English translation by Ṭhānissaro Bhikkhu
I have heard that on one occasion the Blessed One was staying near Pāva in Cunda the silversmith’s mango grove. Then Cunda the silversmith went to the Blessed One and, on arrival, having bowed down to him, sat to one side. As he was sitting there, the Blessed One said to him: “Cunda, of whose rites of purification do you approve?”
“The brahmans of the Western lands, lord—those who carry water pots, wear garlands of water plants, worship fire, & purify with water: they have declared purification rites of which I approve.”
“And what kind of purification rites have they declared, those brahmans of the Western lands who carry water pots, wear garlands of water plants, worship fire, & purify with water?”
“There is the case where the brahmans of the Western lands… get their disciples to undertake their practice thus: ‘Come, now, my good man: Get up at the proper time from your bed and touch the earth. If you don’t touch the earth, touch wet cow dung. If you don’t touch wet cow dung, touch green grass. If you don’t touch green grass, worship a fire. If you don’t worship a fire, pay homage to the sun with clasped hands. If you don’t pay homage to the sun with clasped hands, go down into the water three times by nightfall.’ These are the purification rites declared by the brahmans of the Western lands… of which I approve.”
“Cunda, the purification rites declared by the brahmans of the Western lands… are one thing; the purification in the discipline of the noble ones is something else entirely.”
“But how is there purification in the discipline of the noble ones, venerable sir? It would be good if the Blessed One would teach me how there is purification in the discipline of the noble ones.”
“Then in that case, Cunda, listen & pay close attention. I will speak.”
“As you say, lord,” Cunda the silversmith responded to him.
The Blessed One said: “There are three ways in which one is made impure by bodily action, four ways in which one is made impure by verbal action, and three ways in which one is made impure by mental action.
Unskillful Bodily Action
“And how is one made impure in three ways by bodily action? There is the case where a certain person takes life, is brutal, bloody-handed, devoted to killing & slaying, showing no mercy to living beings. He takes what is not given. He takes, in the manner of a thief, things in a village or a wilderness that belong to others and have not been given by them. He engages in sexual misconduct. He gets sexually involved with those who are protected by their mothers, their fathers, their brothers, their sisters, their relatives, or their Dhamma; those with husbands, those who entail punishments, or even those crowned with flowers by another man. This is how one is made impure in three ways by bodily action.
Unskillful Verbal Action
“And how is one made impure in four ways by verbal action? There is the case where a certain person tells lies. When he has been called to a town meeting, a group meeting, a gathering of his relatives, his guild, or of the royalty [i.e., a royal court proceeding], if he is asked as a witness, ‘Come & tell, good man, what you know’: If he doesn’t know, he says, ‘I know.’ If he does know, he says, ‘I don’t know.’ If he hasn’t seen, he says, ‘I have seen.’ If he has seen, he says, ’I haven’t seen.’ Thus he consciously tells lies for his own sake, for the sake of another, or for the sake of a certain reward. He engages in divisive speech. What he has heard here he tells there to break those people apart from these people here. What he has heard there he tells here to break these people apart from those people there. Thus breaking apart those who are united and stirring up strife between those who have broken apart, he loves factionalism, delights in factionalism, enjoys factionalism, speaks things that create factionalism. He engages in harsh speech. He speaks words that are insolent, cutting, mean to others, reviling others, provoking anger and destroying concentration. He engages in idle chatter. He speaks out of season, speaks what isn’t factual, what isn’t in accordance with the goal, the Dhamma, & the Vinaya, words that are not worth treasuring. This is how one is made impure in four ways by verbal action.
Unskillful Mental Action
“And how is one made impure in three ways by mental action? There is the case where a certain person is covetous. He covets the belongings of others, thinking, ‘O, that what belongs to others would be mine!’ He bears ill will, corrupt in the resolves of his heart: ‘May these beings be killed or cut apart or crushed or destroyed, or may they not exist at all!’ He has wrong view, is warped in the way he sees things: ‘There is nothing given, nothing offered, nothing sacrificed. There is no fruit or result of good or bad actions. There is no this world, no next world, no mother, no father, no spontaneously reborn beings; no contemplatives or brahmans who, faring rightly & practicing rightly, proclaim this world & the next after having directly known & realized it for themselves.’ This is how one is made impure in three ways by mental action.
“These, Cunda, are the ten courses of unskillful action. When a person is endowed with these ten courses of unskillful action, then even if he gets up at the proper time from his bed and touches the earth, he is still impure. If he doesn’t touch the earth, he is still impure. If he touches wet cow dung, he is still impure. If he doesn’t touch wet cow dung, he is still impure. If he touches green grass… If he doesn’t touch green grass… If he worships a fire… If he doesn’t worship a fire… If he pays homage to the sun with clasped hands… If he doesn’t pay homage to the sun with clasped hands… If he goes down into the water three times by nightfall… If he doesn’t go down into the water three times by nightfall, he is still impure. Why is that? Because these ten courses of unskillful action are impure and cause impurity. And further, as a result of being endowed with these ten courses of unskillful action, (rebirth in) hell is declared, (rebirth in) an animal womb is declared, (rebirth in) the realm of hungry ghosts is declared—that or any other bad destination.
“Now, Cunda, there are three ways in which one is made pure by bodily action, four ways in which one is made pure by verbal action, and three ways in which one is made pure by mental action.
Skillful Bodily Action
“And how is one made pure in three ways by bodily action? There is the case where a certain person, abandoning the taking of life, abstains from the taking of life. He dwells with his rod laid down, his knife laid down, scrupulous, merciful, compassionate for the welfare of all living beings. Abandoning the taking of what is not given, he abstains from taking what is not given. He does not take, in the manner of a thief, things in a village or a wilderness that belong to others and have not been given by them. Abandoning sexual misconduct, he abstains from sexual misconduct. He does not get sexually involved with those who are protected by their mothers, their fathers, their brothers, their sisters, their relatives, or their Dhamma; those with husbands, those who entail punishments, or even those crowned with flowers by another man. This is how one is made pure in three ways by bodily action.
Skillful Verbal Action
“And how is one made pure in four ways by verbal action? There is the case where a certain person, abandoning the telling of lies, abstains from telling lies. When he has been called to a town meeting, a group meeting, a gathering of his relatives, his guild, or of the royalty, if he is asked as a witness, ‘Come & tell, good man, what you know’: If he doesn’t know, he says, ‘I don’t know.’ If he does know, he says, ‘I know.’ If he hasn’t seen, he says, ‘I haven’t seen.’ If he has seen, he says, ’I have seen.’ Thus he doesn’t consciously tell a lie for his own sake, for the sake of another, or for the sake of any reward. Abandoning divisive speech, he abstains from divisive speech. What he has heard here he does not tell there to break those people apart from these people here. What he has heard there he does not tell here to break these people apart from those people there. Thus reconciling those who have broken apart or cementing those who are united, he loves concord, delights in concord, enjoys concord, speaks things that create concord. Abandoning harsh speech, he abstains from harsh speech. He speaks words that are soothing, pleasing to the ear, that are affectionate, that go to the heart, that are polite, appealing & pleasing to people at large. Abandoning idle chatter, he abstains from idle chatter. He speaks in season, speaks what is based in fact, what is in accordance with the goal, the Dhamma, & the Vinaya. He speaks words worth treasuring, timely, reasonable, circumscribed, connected with the goal. This is how one is made pure in four ways by verbal action.
Skillful Mental Action
“And how is one made pure in three ways by mental action? There is the case where a certain person is not covetous. He does not covet the belongings of others, thinking, ‘O, that what belongs to others would be mine!’ He bears no ill will and is not corrupt in the resolves of his heart. (He thinks,) ‘May these beings be free from animosity, free from oppression, free from trouble, and may they look after themselves with ease!’ He has right view and is not warped in the way he sees things: ‘There is what is given, what is offered, what is sacrificed. There are fruits & results of good & bad actions. There is this world & the next world. There is mother & father. There are spontaneously reborn beings; there are contemplatives & brahmans who, faring rightly & practicing rightly, proclaim this world & the next after having directly known & realized it for themselves.’ This is how one is made pure in three ways by mental action.
“These, Cunda, are the ten courses of skillful action. When a person is endowed with these ten courses of skillful action, then even if he gets up at the proper time from his bed and touches the earth, he is still pure. If he doesn’t touch the earth, he is still pure. If he touches wet cow dung, he is still pure. If he doesn’t touch wet cow dung, he is still pure. If he touches green grass… If he doesn’t touch green grass… If he worships a fire… If he doesn’t worship a fire… If he pays homage to the sun with clasped hands… If he doesn’t pay homage to the sun with clasped hands… If he goes down into the water three times by nightfall… If he doesn’t go down into the water three times by nightfall, he is still pure. Why is that? Because these ten courses of skillful action are pure and cause purity. And further, as a result of being endowed with these ten courses of skillful action, (rebirth among) the devas is declared, (rebirth among) human beings is declared—that or any other good destination.”
When this was said, Cunda the silversmith said to the Blessed One: “Magnificent, venerable sir! Magnificent! Just as if he were to place upright what was overturned, to reveal what was hidden, to show the way to one who was lost, or to carry a lamp into the dark so that those with eyes could see forms, in the same way has the Blessed One—through many lines of reasoning—made the Dhamma clear. I go to the Blessed One for refuge, to the Dhamma, and to the Saṅgha of monks. May the Blessed One remember me as a lay follower who has gone to him for refuge, from this day forward, for life.”