ความแตกต่างระหว่างปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ กับอริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อเจริญพรหมวิหาร
ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก ๔ จำพวกอะไรบ้าง คือ
๑) ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ มีจิตประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปสู่ทิศที่หนึ่ง ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำรงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา ภิกษุทั้งหลาย เทวดาเหล่าพรหมกายิกามีอายุประมาณ ๑ กัป ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นพรหมกายิกานั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำรงอยู่ในชั้นพรหมกายิกานั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอุบัติยังมีอยู่.
๒) ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในกรณีนี้ มีจิตประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปสู่ทิศที่หนึ่ง ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยกรุณา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำรงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าอาภัสสระ ภิกษุทั้งหลาย เทวดาเหล่าอาภัสสระมีอายุประมาณ ๒ กัป ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นอาภัสสระนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำรงอยู่ในชั้นอาภัสสระนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอุบัติยังมีอยู่.
๓) ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในกรณีนี้ มีจิตประกอบด้วยมุทิตา แผ่ไปสู่ทิศที่หนึ่ง ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยมุทิตา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำรงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสุภกิณหะ ภิกษุทั้งหลาย เทวดาเหล่าสุภกิณหะมีอายุประมาณ ๔ กัป ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นสุภกิณหะนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำรงอยู่ในชั้นสุภกิณหะนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอุบัติยังมีอยู่.
๔) ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในกรณีนี้ มีจิตประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่หนึ่ง ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยอุเบกขา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำรงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าเวหัปผละ ภิกษุทั้งหลาย เทวดาเหล่าเวหัปผละมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นเวหัปผละนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำรงอยู่ใน ชั้นเวหัปผละนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอุบัติยังมีอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้แล มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก.
-บาลี จตุกฺก. อํ. 21/172/125.
https://84000.org/tipitaka/pali/?21//172
https://etipitaka.com/read/pali/21/172
English translation by Bhikkhu Sujato
“Mendicants, these four people are found in the world. What four?
Firstly, a person meditates spreading a heart full of love to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of love to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. They enjoy this and like it and find it satisfying. If they abide in that, are committed to it, and meditate on it often without losing it, when they die they’re reborn in the company of the gods of Brahmā’s Host. The lifespan of the gods of Brahma’s Host is one eon. An ordinary person stays there until the lifespan of those gods is spent, then they go to hell or the animal realm or the ghost realm. But a disciple of the Buddha stays there until the lifespan of those gods is spent, then they’re extinguished in that very life. This is the difference between a learned noble disciple and an unlearned ordinary person, that is, when there is a place of rebirth.
Furthermore, a person meditates spreading a heart full of compassion … rejoicing … equanimity to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of equanimity to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. They enjoy this and like it and find it satisfying. If they abide in that, are committed to it, and meditate on it often without losing it, when they die they’re reborn in the company of the gods of streaming radiance. The lifespan of the gods of streaming radiance is two eons. … they’re reborn in the company of the gods replete with glory. The lifespan of the gods replete with glory is four eons. … they’re reborn in the company of the gods of abundant fruit. The lifespan of the gods of abundant fruit is five hundred eons. An ordinary person stays there until the lifespan of those gods is spent, then they go to hell or the animal realm or the ghost realm. But a disciple of the Buddha stays there until the lifespan of those gods is spent, then they’re extinguished in that very life. This is the difference between a learned noble disciple and an unlearned ordinary person, that is, when there is a place of rebirth.
These are the four people found in the world.”
English translation by Ṭhānissaro Bhikkhu
“Monks, there are these four types of individuals to be found existing in the world. Which four?
“There is the case where an individual keeps pervading the first direction [the east]—as well as the second direction, the third, & the fourth—with an awareness imbued with goodwill. Thus he keeps pervading above, below, & all around, everywhere & in every respect the all-encompassing cosmos with an awareness imbued with goodwill: abundant, expansive, immeasurable, free from hostility, free from ill will. He savors that, longs for that, finds satisfaction through that. Staying there—fixed on that, dwelling there often, not falling away from that—then when he dies he reappears in conjunction with the Devas of Brahmā’s Retinue. The Devas of Brahmā’s Retinue, monks, have a lifespan of an eon. A run-of-the-mill person having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, goes to hell, to the animal womb, to the state of the hungry ghosts. But a disciple of the Blessed One, having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, is unbound right in that state of being. This, monks, is the difference, this the distinction, this the distinguishing factor, between an educated disciple of the noble ones and an uneducated run-of-the-mill person, when there is a destination, a reappearing.
“And further, there is the case where an individual keeps pervading the first direction [the east]—as well as the second direction, the third, & the fourth—with an awareness imbued with compassion. Thus he keeps pervading above, below, & all around, everywhere & in every respect the all-encompassing cosmos with an awareness imbued with compassion: abundant, expansive, immeasurable, free from hostility, free from ill will. He savors that, longs for that, finds satisfaction through that. Staying there—fixed on that, dwelling there often, not falling away from that—then when he dies he reappears in conjunction with the Ābhassara [Radiant] devas.1 The Ābhassara devas, monks, have a lifespan of two eons. A run-of-the-mill person having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, goes to hell, to the animal womb, to the state of the hungry ghosts. But a disciple of the Blessed One, having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, is unbound right in that state of being. This, monks, is the difference, this the distinction, this the distinguishing factor, between an educated disciple of the noble ones and an uneducated run-of-the-mill person, when there is a destination, a reappearing.2
“And further, there is the case where an individual keeps pervading the first direction [the east]—as well as the second direction, the third, & the fourth—with an awareness imbued with empathetic joy. Thus he keeps pervading above, below, & all around, everywhere & in every respect the all-encompassing cosmos with an awareness imbued with empathetic joy: abundant, expansive, immeasurable, free from hostility, free from ill will. He savors that, longs for that, finds satisfaction through that. Staying there—fixed on that, dwelling there often, not falling away from that—then when he dies he reappears in conjunction with the Subhakiṇha [Beautiful Black] devas. The Subhakiṇha devas, monks, have a lifespan of four eons. A run-of-the-mill person having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, goes to hell, to the animal womb, to the state of the hungry ghosts. But a disciple of the Blessed One, having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, is unbound right in that state of being. This, monks, is the difference, this the distinction, this the distinguishing factor, between an educated disciple of the noble ones and an uneducated run-of-the-mill person, when there is a destination, a reappearing.
“And further, there is the case where an individual keeps pervading the first direction [the east]—as well as the second direction, the third, & the fourth—with an awareness imbued with equanimity. Thus he keeps pervading above, below, & all around, everywhere & in every respect the all-encompassing cosmos with an awareness imbued with equanimity: abundant, expansive, immeasurable, free from hostility, free from ill will. He savors that, longs for that, finds satisfaction through that. Staying there—fixed on that, dwelling there often, not falling away from that—then when he dies he reappears in conjunction with the Vehapphala [Sky-fruit] devas. The Vehapphala devas, monks, have a lifespan of 500 eons. A run-of-the-mill person having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, goes to hell, to the animal womb, to the state of the hungry ghosts. But a disciple of the Blessed One, having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, is unbound right in that state of being. This, monks, is the difference, this the distinction, this the distinguishing factor, between an educated disciple of the noble ones and an uneducated run-of-the-mill person, when there is a destination, a reappearing.
“These are four types of individuals to be found existing in the world.”
Notes
1. The Ābhassara, Subhakiṇha, and Vehapphala devas are all Brahmās on the level of form.
2. This sutta, read in conjunction with AN 4:123, has given rise to the belief that the development of goodwill as an immeasurable state can lead only to the first jhāna, and that the next two immeasurable states—compassion and empathetic joy—can lead, respectively, only to the second and third jhānas. However, as AN 8:70 shows, all four immeasurable states can lead all the way to the fourth jhāna. The difference between that discourse and this lies in how the person practicing these states relates to them. In that sutta, the person deliberately uses the state as a basis for developing all the jhānas. In this sutta, the person simply enjoys the state and remains in it.