ความแตกต่างระหว่างปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ กับอริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อได้สมาธิ (๑)
ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก ๔ จำพวกอะไรบ้าง คือ
๑) ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำรงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา ภิกษุทั้งหลาย เทวดาเหล่าพรหมกายิกามีอายุประมาณ ๑ กัป ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นพรหมกายิกานั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำรงอยู่ในชั้นพรหมกายิกานั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอุบัติยังมีอยู่.
๒) ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในกรณีนี้ เพราะวิตกวิจารระงับไป จึงบรรลุทุติยฌาน อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำรงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าอาภัสสระ ภิกษุทั้งหลาย เทวดาเหล่าอาภัสสระมีอายุประมาณ ๒ กัป ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นอาภัสสระนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำรงอยู่ในชั้นอาภัสสระนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอุบัติยังมีอยู่.
๓) ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในกรณีนี้ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ จึงอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยกาย จึงบรรลุตติยฌาน อันพระอริยะกล่าวว่า ผู้นั้นเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุขแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำรงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสุภกิณหะ ภิกษุทั้งหลาย เทวดาเหล่าสุภกิณหะมีอายุประมาณ ๔ กัป ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นสุภกิณหะนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำรงอยู่ในชั้นสุภกิณหะนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอุบัติยังมีอยู่.
๔) ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในกรณีนี้ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน จึงบรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความบริสุทธิ์แห่งสติเพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำรงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าเวหัปผละ ภิกษุทั้งหลาย เทวดาเหล่าเวหัปผละมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นเวหัปผละนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำรงอยู่ใน ชั้นเวหัปผละนั้นจนตลอดอายุ เมื่ออายุประมาณของเทวดาเหล่านั้นหมดสิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอุบัติยังมีอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้แล มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก.
-บาลี จตุกฺก. อํ. 21/168/123.
https://84000.org/tipitaka/pali/?21//168
https://etipitaka.com/read/pali/21/168
English translation by Bhikkhu Sujato
“Mendicants, these four people are found in the world. What four?
Firstly, a mendicant, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, enters and remains in the first absorption, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. They enjoy it and like it and find it satisfying. If they abide in that, are committed to it, and meditate on it often without losing it, when they die they’re reborn in the company of the gods of Brahmā’s Host. The lifespan of the gods of Brahma’s Host is one eon. An ordinary person stays there until the lifespan of those gods is spent, then they go to hell or the animal realm or the ghost realm. But a disciple of the Buddha stays there until the lifespan of those gods is spent, then they’re extinguished in that very life. This is the difference between a learned noble disciple and an unlearned ordinary person, that is, when there is a place of rebirth.
As the placing of the mind and keeping it connected are stilled, they enter and remain in the second absorption, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and confidence, and unified mind, without placing the mind and keeping it connected. They enjoy it and like it and find it satisfying. If they abide in that, are committed to it, and meditate on it often without losing it, when they die they’re reborn in the company of the gods of streaming radiance. The lifespan of the gods of streaming radiance is two eons. An ordinary person stays there until the lifespan of those gods is spent, then they go to hell or the animal realm or the ghost realm. But a disciple of the Buddha stays there until the lifespan of those gods is spent, then they’re extinguished in that very life. This is the difference between a learned noble disciple and an unlearned ordinary person, that is, when there is a place of rebirth.
Furthermore, with the fading away of rapture, they enter and remain in the third absorption, where they meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ They enjoy it and like it and find it satisfying. If they abide in that, are committed to it, and meditate on it often without losing it, when they die they’re reborn in the company of the gods replete with glory. The lifespan of the gods replete with glory is four eons. An ordinary person stays there until the lifespan of those gods is spent, then they go to hell or the animal realm or the ghost realm. But a disciple of the Buddha stays there until the lifespan of those gods is spent, then they’re extinguished in that very life. This is the difference between a learned noble disciple and an unlearned ordinary person, that is, when there is a place of rebirth.
Furthermore, giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, they enter and remain in the fourth absorption, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. They enjoy it and like it and find it satisfying. If they abide in that, are committed to it, and meditate on it often without losing it, when they die they’re reborn in the company of the gods of abundant fruit. The lifespan of the gods of abundant fruit is five hundred eons. An ordinary person stays there until the lifespan of those gods is spent, then they go to hell or the animal realm or the ghost realm. But a disciple of the Buddha stays there until the lifespan of those gods is spent, then they’re extinguished in that very life. This is the difference between a learned noble disciple and an unlearned ordinary person, that is, when there is a place of rebirth.
These are the four people found in the world.”
English translation by Ṭhānissaro Bhikkhu
“Monks, there are these four types of individuals to be found existing in the world. Which four?
“There is the case where an individual, quite secluded from sensuality, secluded from unskillful qualities, enters & remains in the first jhāna: rapture & pleasure born of seclusion, accompanied by directed thought & evaluation. He savors that, longs for that, finds satisfaction through that. Staying there—fixed on that, dwelling there often, not falling away from that—then when he dies he reappears in conjunction with the Devas of Brahmā’s Retinue. The Devas of Brahmā’s Retinue, monks, have a lifespan of an eon. A run-of-the-mill person having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, goes to hell, to the animal womb, to the state of the hungry ghosts. But a disciple of the Blessed One, having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, is unbound right in that state of being. This, monks, is the difference, this the distinction, this the distinguishing factor, between an educated disciple of the noble ones and an uneducated run-of-the-mill person, when there is a destination, a reappearing.
“Again, there is the case where an individual, with the stilling of directed thoughts & evaluations, enters & remains in the second jhāna: rapture & pleasure born of concentration, unification of awareness free from directed thought & evaluation—internal assurance. He savors that, longs for that, finds satisfaction through that. Staying there—fixed on that, dwelling there often, not falling away from that—then when he dies he reappears in conjunction with the Ābhassara [Radiant] devas.1 The Ābhassara devas, monks, have a lifespan of two eons. A run-of-the-mill person having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, goes to hell, to the animal womb, to the state of the hungry ghosts. But a disciple of the Blessed One, having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, is unbound right in that state of being. This, monks, is the difference, this the distinction, this the distinguishing factor, between an educated disciple of the noble ones and an uneducated run-of-the-mill person, when there is a destination, a reappearing.
“Again, there is the case where an individual, with the fading of rapture, remains equanimous, mindful, & alert, senses pleasure with the body, and enters & remains in the third jhāna, of which the noble ones declare, ‘Equanimous & mindful, he has a pleasant abiding.’ He savors that, longs for that, finds satisfaction through that. Staying there—fixed on that, dwelling there often, not falling away from that—then when he dies he reappears in conjunction with the Subhakiṇha [Beautiful Black] devas. The Subhakiṇha devas, monks, have a lifespan of four eons. A run-of-the-mill person having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, goes to hell, to the animal womb, to the state of the hungry ghosts. But a disciple of the Blessed One, having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, is unbound right in that state of being. This, monks, is the difference, this the distinction, this the distinguishing factor, between an educated disciple of the noble ones and an uneducated run-of-the-mill person, when there is a destination, a reappearing.
“Again, there is the case where an individual, with the abandoning of pleasure & pain—as with the earlier disappearance of elation & distress—enters & remains in the fourth jhāna: purity of equanimity & mindfulness, neither pleasure nor pain. He savors that, longs for that, finds satisfaction through that. Staying there—fixed on that, dwelling there often, not falling away from that—then when he dies he reappears in conjunction with the Vehapphala [Sky-fruit] devas. The Vehapphala devas, monks, have a lifespan of 500 eons. A run-of-the-mill person having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, goes to hell, to the animal womb, to the state of the hungry ghosts. But a disciple of the Blessed One, having stayed there, having used up all the lifespan of those devas, is unbound right in that state of being. This, monks, is the difference, this the distinction, this the distinguishing factor, between an educated disciple of the noble ones and an uneducated run-of-the-mill person, when there is a destination, a reappearing.
“These are four types of individuals to be found existing in the world.”
Note
1. The Ābhassara, Subhakiṇha, and Vehapphala devas are all Brahmās on the level of form.