เหตุให้ได้เป็นโสดาบัน ๔ ประการ ของช่างไม้
เรื่องเกิดขึ้นที่พระนครสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุจำนวนมากกระทำจีวรกรรมเพื่อพระผู้มีพระภาค ด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาคมีจีวรสำเร็จแล้ว อีก ๓ เดือน ก็จักเสด็จจาริกไป.
สมัยนั้น พวกช่างไม้ชื่ออิสิทัตตะและปุราณะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านส่วยชื่อสาธุกะด้วยกรณียกิจบางอย่าง พวกเขาได้ทราบข่าวว่า ภิกษุจำนวนมากกระทำจีวรกรรมเพื่อพระผู้มีพระภาค ด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาคมีจีวรสำเร็จแล้ว อีก ๓ เดือน ก็จักเสด็จจาริกไป ต่อมาช่างไม้ชื่ออิสิทัตตะและปุราณะ จึงได้จัดบุรุษเฝ้าหนทางไว้ สั่งว่า ผู้บุรุษผู้เจริญ ท่านเห็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะเสด็จมาในเวลาใด ท่านพึงบอกพวกเราในเวลานั้น บุรุษนั้นเฝ้าอยู่ได้ ๒-๓ วัน ก็ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล จึงเข้าไปหาช่างไม้ชื่ออิสิทัตตะและปุราณะถึงที่อยู่ แล้วได้บอกดังนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะกำลังเสด็จมา ขอท่านทั้งหลายจงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด.
ลำดับนั้น พวกช่างไม้ชื่ออิสิทัตตะและปุราณะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วเดินตามพระผู้มีพระภาคไปทางด้านหลัง พระผู้มีพระภาคทรงแวะข้างทาง เสด็จเข้าไปยังโคนไม้แห่งหนึ่ง แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ช่างไม้ชื่ออิสิทัตตะและปุราณะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร ครั้นแล้วได้ทูลว่า
ภันเต เวเลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจาริกจากพระนครสาวัตถีไปยังโกศลชนบท เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคจักห่างพวกเราทั้งหลายไป เวลาใด ได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า ได้เสด็จจาริกจากพระนครสาวัตถีไปถึงโกศลชนบทแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคได้ห่างจากพวกเราไปแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจาริกจากโกศลชนบทไปยังแคว้นมัลละ เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคจักห่างพวกเราทั้งหลายไป เวลาใด ได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า ได้เสด็จจากโกศลชนบทไปถึงแคว้นมัลละแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคได้ห่างพวกเราทั้งหลายไปแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจากแคว้นมัลละไปยังแคว้นวัชชี เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคจักห่างพวกเราทั้งหลายไป เวลาใด ได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า เสด็จจาริกจากแคว้นมัลละไปถึงแคว้นวัชชีแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคได้ห่างพวกเราทั้งหลายไปแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจาริกจากแคว้นวัชชีไปยังแคว้นกาสี เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคจักห่างพวกเราทั้งหลายไป เวลาใด ได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า เสด็จจาริกจากแคว้นวัชชีไปถึงแคว้นกาสีแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคได้ห่างพวกเราทั้งหลายไปแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจาริกจากแคว้นกาสีไปยังแคว้นมคธ เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจว่า พระผู้มีพระภาคจักห่างพวกเราทั้งหลายไป เวลาใด ได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า เสด็จจาริกจากแคว้นกาสีไปถึงแคว้นมคธแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเสียใจและน้อยใจเป็นอันมากว่า พระผู้มีพระภาคได้ห่างพวกเราทั้งหลายไปแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจาริกจากแคว้นมคธมายังแคว้นกาสี เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคจักใกล้พวกเราทั้งหลายเข้ามา เวลาใด ได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า เสด็จจาริกจากแคว้นมคธมาถึงแคว้นกาสีแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคใกล้พวกเราทั้งหลายเข้ามาแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจากแคว้นกาสีมายังแคว้นวัชชี เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคจักใกล้พวกเราทั้งหลายเข้ามา เวลาใด ได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า เสด็จจาริกจากแคว้นกาสีมาถึงแคว้นวัชชีแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคใกล้พวกเราทั้งหลายเข้ามาแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจาริกจากแคว้นวัชชีมายังแคว้นมัลละ เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคจักใกล้พวกเราทั้งหลายเข้ามา เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า เสด็จจาริกจากแคว้นวัชชีมาถึงแคว้นมัลละแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคใกล้พวกเราทั้งหลายเข้ามาแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจากแคว้นมัลละมายังแคว้นโกศล เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคจักใกล้พวกเราทั้งหลายเข้ามา เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า เสด็จจาริกจากแคว้นมัลละมาถึงแคว้นโกศลแล้ว เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคใกล้พวกเราทั้งหลายเข้ามาแล้ว.
ภันเต ก็เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า จักเสด็จจาริกจากแคว้นโกศลมายังพระนครสาวัตถี เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจว่า พระผู้มีพระภาคจักใกล้เราทั้งหลายเข้ามา เวลาใด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคว่า ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี เวลานั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความดีใจและปลื้มใจเป็นอันมากว่า พระผู้มีพระภาคใกล้พวกเราทั้งหลายแล้ว.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ช่างไม้ทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นโอกาสว่าง เธอทั้งหลายควรเป็นผู้ไม่ประมาท.
ภันเต ความคับแคบอย่างอื่นที่เป็นความคับแคบกว่า และที่นับว่าเป็นความคับแคบยิ่งกว่าความคับแคบนี้ของพวกข้าพระองค์มีอยู่หรือไม่หนอ.
ช่างไม้ทั้งหลาย ก็ความคับแคบอย่างอื่นที่เป็นความคับแคบกว่า และที่นับว่าเป็นความคับแคบยิ่งกว่าความคับแคบนี้ของพวกเธอทั้งหลายเป็นอย่างไร.
ภันเต เมื่อใด พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระราชประสงค์จะเสด็จออกไปยังพระราชอุทยาน เมื่อนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องกำหนดช้างทรงของพระเจ้าปเสนทิโกศล แล้วให้พระชายาซึ่งเป็นที่โปรดปราน เป็นที่พอใจของพระเจ้าปเสนทิโกศลประทับเบื้องหน้าพระองค์หนึ่ง เบื้องหลังพระองค์หนึ่ง กลิ่นของพระชายาเหล่านั้นเป็นอย่างนี้ คือ เปรียบเหมือนกลิ่นของนางสาวน้อยแห่งกษัตริย์ (ราชกัญญา) ผู้ปะพรมด้วยของหอม ดังกลิ่นของขวดน้ำหอมที่เขาเปิดในขณะนั้น กายสัมผัสของพระชายาเหล่านั้นเป็นอย่างนี้ คือ เปรียบเหมือนการสัมผัสกายของนางสาวน้อยแห่งกษัตริย์ ผู้ดำรงอยู่ด้วยความสุข (ผิวอ่อนนุ่ม) ดังปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย ก็ในสมัยนั้น แม้ช้างพวกข้าพระองค์ทั้งหลายก็ต้องระวัง แม้พระชายาทั้งหลาย พวกข้าพระองค์ทั้งหลายก็ต้องระวัง แม้พระเจ้าปเสนทิโกศลเล่า พวกข้าพระองค์ทั้งหลายก็ต้องระวัง.
ภันเต ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่รู้สึกว่า ความคิดอันเลวทรามจะบังเกิดขึ้นในพระชายาเหล่านั้นเลย ข้อนี้แล คือความคับแคบอย่างอื่นที่เป็นความคับแคบกว่า และที่นับว่าเป็นความคับแคบยิ่งกว่าความคับแคบนี้ของพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย.
ช่างไม้ทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล ฆราวาสจึงคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นโอกาสว่าง ก็เธอทั้งหลายควรเป็นผู้ไม่ประมาท.
ช่างไม้ทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ได้ในกาลข้างหน้า ธรรม ๔ ประการอะไรบ้าง คือ อริยสาวกในกรณีนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว นั่นคือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวได้ ๘ บุรุษ นั่นแหละคือ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรแก่ของบูชา เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณา เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เป็นผู้มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน อยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการให้และการแบ่งปัน.
ช่างไม้ทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ได้ในกาลข้างหน้า.
ช่างไม้ทั้งหลาย เธอทั้งหลายเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า … เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม … เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ …
ก็ไทยธรรม1 สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีอยู่ในตระกูล เธอทั้งหลายเฉลี่ยไทยธรรมเหล่านั้นทั้งหมด กับผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร เหมือนว่า พวกมนุษย์ในแคว้นโกศลมีอยู่เท่าไร เธอทั้งหลายก็เฉลี่ยแบ่งปันให้เท่าๆ กัน.
(อีกสำนวนแปล) ก็ไทยธรรมเหล่าใดมีอยู่ในตระกูล ไทยธรรมเหล่านั้นทั้งหมด จัดเป็นของควรแบ่งโดยเฉลี่ย กับผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร พวกมนุษย์ในแคว้นโกศล ที่ทัดเทียมกับพวกเธอทั้งหลาย ในเรื่องการให้และการแบ่งปัน จะมีอยู่สักเท่าไรกัน.
ภันเต เป็นลาภของพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย พวกข้าพระองค์ทั้งหลายได้ดีแล้ว ที่พระผู้มีพระภาคทรงทราบชัด (พฤติการณ์ของพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย) อย่างนี้.
-บาลี มหาวาร. สํ. 19/435/1431.
https://84000.org/tipitaka/pali/?19//435
https://etipitaka.com/read/pali/19/435
1 ศัพท์บาลี เทยฺยธมฺม = ไทยธรรม = ของทำบุญ
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī. At that time several mendicants were making a robe for the Buddha, thinking that when his robe was finished and the three months of the rains residence had passed the Buddha would set out wandering. Now at that time the chamberlains Isidatta and Purāṇa were residing in Sādhuka on some business. They heard about this.
So they posted someone on the road, saying:
“My good man, let us know when you see the Blessed One coming, the perfected one, the fully awakened Buddha.” And that person stood there for two or three days before they saw the Buddha coming off in the distance. When they saw him, they went to the chamberlains and said:
“Sirs, the Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha is coming. Please come at your convenience.”
Then the chamberlains went up to the Buddha, bowed, and followed behind him. And then the Buddha left the road, went to the root of a certain tree, and sat down on the seat spread out. The chamberlains Isidatta and Purāṇa bowed, sat down to one side, and said to the Buddha:
“Sir, when we hear that you will be setting out from Sāvatthī to wander in the Kosalan lands, we’re sad and upset, thinking that you will be far from us. And when we hear that you are setting out from Sāvatthī to wander in the Kosalan lands, we’re sad and upset, thinking that you are far from us.
And when we hear that you will be setting out from the Kosalan lands to wander in the Mallian lands, we’re sad and upset, thinking that you will be far from us. And when we hear that you are setting out from the Kosalan lands to wander in the Mallian lands, we’re sad and upset, thinking that you are far from us.
And when we hear that you will be setting out from the Mallian lands to wander in the Vajjian lands …
you will be setting out from the Vajjian lands to wander in the Kāsian lands …
you will be setting out from the Kāsian lands to wander in the Māgadhan lands …
you are setting out from the Kāsian lands to wander in the Māgadhan lands, we’re sad and upset, thinking that you are far from us.
But when we hear that you will be setting out from the Māgadhan lands to wander in the Kāsian lands, we’re happy and joyful, thinking that you will be near to us. And when we hear that you are setting out from the Māgadhan lands to wander in the Kāsian lands …
you will be setting out from the Kāsian lands to wander in the Vajjian lands …
you will be setting out from the Vajjian lands to wander in the Mallian lands …
you will be setting out from the Mallian lands to wander in the Kosalan lands …
you will be setting out in the Kosalan lands to wander to Sāvatthī, we’re happy and joyful, thinking that you will be near to us.
And when we hear that you are staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery we have no little happiness and joy, thinking that you are near to us.”
“Well then, chamberlains, living in a house is cramped and dirty, but the life of one gone forth is wide open. Just this much is enough to be diligent.”
“Sir, for us there is something that’s even more cramped than that, and is considered as such.”
“What is that?”
“Sir, it’s when King Pasenadi of Kosala wants to go and visit a park. We have to harness and prepare his royal elephants. Then we have to seat his dear and beloved wives on the elephants, one in front of us, and one behind. Those sisters smell like a freshly opened perfume box; that’s how the royal ladies smell with makeup on. The touch of those sisters is like a tuft of cotton-wool or kapok; that’s how dainty the royal ladies are. Now at that time we must look after the elephants, the sisters, and ourselves. But we don’t recall having a bad thought regarding those sisters. This is that thing that’s even more cramped than that, and is considered as such.”
“Well then, chamberlains, living in a house is cramped and dirty, but the life of one gone forth is wide open. Just this much is enough to be diligent. A noble disciple who has four things is a stream-enterer, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening.
What four? It’s when a noble disciple has experiential confidence in the Buddha … the teaching … the Saṅgha … They live at home rid of the stain of stinginess, freely generous, open-handed, loving to let go, committed to charity, loving to give and to share. A noble disciple who has these four things is a stream-enterer, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening.
And you have experiential confidence in the Buddha … the teaching … the Saṅgha … And whatever there is in your family that’s available to give, you share it all with those who are ethical, of good character.
What do you think, chamberlains? How many people among the Kosalans are your equal when it comes to giving and sharing?”
“We’re fortunate, sir, so very fortunate, in that the Buddha understands us like this.”