ทุกข์เกิดจากของรัก
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้น บุตรน้อยคนเดียวของคหบดีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รักที่ชอบใจได้กระทำกาละลง เพราะการกระทำกาละของบุตรน้อยคนเดียวนั้น การงานของคหบดีนั้นก็ไม่เป็นอันทำ อาหารก็ไม่เป็นอันกิน คหบดีนั้น เอาแต่ไปป่าช้า แล้วคร่ำครวญถึงบุตรนั้นว่า บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน.
ครั้งนั้น คหบดีนั้น ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วจึงนั่งในที่สมควร.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะคหบดีนั้นว่า คหบดี จิตใจของท่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านมีเนื้อตัวเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไป.
คหบดีนั้นทูลว่า ภันเต ทำไมเนื้อตัวของข้าพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเล่า เพราะว่าบุตรน้อยคนเดียวของข้าพระองค์ ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ ได้กระทำกาละเสียแล้ว เพราะการกระทำกาละของบุตรน้อยคนเดียวนั้น การงานก็ไม่เป็นอันทำ อาหารก็ไม่เป็นอันกิน ข้าพระองค์เอาแต่ไปป่าช้า แล้วคร่ำครวญถึงบุตรนั้นว่า บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน.
คหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น คหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าโสกปริเทวะ ทุกขโทมนัสและอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
ภันเต ข้อที่ว่าโสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนั้น จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร ภันเต อันที่จริง ความยินดีและความโสมนัสต่างหาก ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
ครั้งนั้น คหบดีนั้น ไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากที่นั่งแล้วหลีกไป.
ก็สมัยนั้น นักเลงสกาเป็นอันมาก เล่นสกากันอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ครั้งนั้น คหบดีนั้น เข้าไปหานักเลงสกา (นักเลงการพนัน) เหล่านั้น แล้วได้กล่าวกะนักเลงสกาเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ ได้ถวายอภิวาทพระสมณโคดมแล้วจึงนั่งในที่สมควร ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระสมณโคดมได้กล่าวกะข้าพเจ้าผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า คหบดี จิตใจของท่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านมีเนื้อตัวเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไป ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เพื่อพระสมณโคดมตรัสอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวพระสมณโคดมว่า ภันเต ทำไมเนื้อตัวของข้าพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไปเล่า เพราะว่าบุตรน้อยคนเดียวของข้าพระองค์ ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ ได้กระทำกาละเสียแล้ว เพราะการกระทำกาละของบุตรน้อยคนเดียวนั้น การงานก็ไม่เป็นอันทำ อาหารก็ไม่เป็นอันกิน ข้าพระองค์เอาแต่ไปป่าช้า แล้วคร่ำครวญถึงบุตรนั้นว่า บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน.
เมื่อข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว พระสมณโคดมได้กล่าวว่า คหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น คหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าโสกปริเทวะ ทุกขโทมนัสและอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก เมื่อพระสมณโคดมกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ภันเต ข้อที่ว่าโสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนั้น จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร ภันเต อันที่จริง ความยินดีและความโสมนัสต่างหาก ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ครั้งนั้น ข้าพเจ้ามิได้ยินดี มิได้คัดค้านภาษิตของพระสมณโคดม ลุกจากที่นั่งแล้วหลีกไป.
นักเลงสกาเหล่านั้นได้กล่าวว่า คหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น คหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าความยินดีและความโสมนัส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
ครั้งนั้น คหบดีนั้นคิดว่า ความเห็นของเราเข้ากันได้กับนักเลงสกาทั้งหลาย ดังนี้ แล้วก็หลีกไป.
ครั้งนั้น เรื่องที่พูดกันนี้ได้แพร่เข้าไปถึงในพระราชวังโดยลำดับ ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ตรัสเรียกพระนางมัลลิกาเทวีมาแล้วตรัสว่า มัลลิกา คำว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัสและอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนี้ พระสมณโคดมของเธอตรัสไว้หรือ.
พระนางมัลลิกาเทวีทูลว่า ข้าแต่มหาราช ถ้าคำนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสจริง คำนั้นก็เป็นอย่างนั้น.
(พระเจ้าปเสนทิโกศลคิดภายใจว่า) ก็พระนางมัลลิกานี้ อนุโมทนาตามพระดำรัสที่พระสมณโคดมตรัสเท่านั้นว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าคำนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสจริง คำนั้นก็เป็นอย่างนั้น (ครั้นแล้ว จึงได้ตรัสว่า) มัลลิกา เธออนุโมทนา (ชื่นชมยินดี) ตามพระดำรัสที่พระสมณโคดมตรัสเท่านั้นว่า ข้าแต่มหาราช ถ้าคำนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสจริง คำนั้นก็เป็นอย่างนั้น เปรียบเหมือนลูกศิษย์เฝ้าแต่อนุโมทนาตามคำที่อาจารย์กล่าวว่า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ท่านอาจารย์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ท่านอาจารย์ มัลลิกา เธอเองก็ฉันนั้นเหมือนกัน เฝ้าแต่อนุโมทนาตามพระดำรัสที่พระสมณโคดมตรัสเท่านั้นว่า ข้าแต่มหาราช ถ้าคำนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสจริง คำนั้นก็เป็นอย่างนั้น มัลลิกา เธอจงหลบหน้าไปเสีย เธอจงหายไปเสีย.
ครั้งนั้น พระนางมัลลิกาเทวีตรัสเรียกพราหมณ์ชื่อนาฬิชังฆะมาสั่งว่า มาเถิดพราหมณ์ ขอท่านจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วอภิวาทพระบาททั้งสองของพระองค์ด้วยเศียรเกล้า แล้วทูลถามถึงความมีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญตามคำของเราว่า ภันเต พระนางมัลลิกาเทวีขออภิวาทมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า ทูลถามถึงความมีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญ และท่านจงถามอย่างนี้ว่า ภันเต พระดำรัสนี้ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก ดังนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสจริงหรือ พระผู้มีพระภาคทรงตอบแก่ท่านอย่างไร ท่านพึงเรียนพระดำรัสนั้นให้ดี แล้วมาบอกแก่เรา ธรรมดาพระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสไม่ผิดพลาด.
นาฬิชังฆพราหมณ์รับพระเสาวณีย์พระนางมัลลิกาแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่งในที่สมควร ครั้นแล้วได้ทูลว่า ข้าแต่พระโคดม พระนางมัลลิกาเทวีขออภิวาทพระบาททั้งสองของท่านพระโคดมด้วยเศียรเกล้า ทูลถามถึงความมีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญ และรับสั่งให้ทูลถามอย่างนี้ว่า ภันเต พระดำรัสนี้ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก ดังนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสจริงหรือ.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า พราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น พราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าโสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก พราหมณ์ ข้อที่ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนั้นเป็นอย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายดังต่อไปนี้.
พราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้แหละ มารดาของหญิงคนหนึ่งได้กระทำกาละลง เพราะการกระทำกาละของมารดานั้น หญิงคนนั้นกลายเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนนทุกถนน เข้าไปตามตรอกทุกตรอก แล้วได้ถามอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายได้พบมารดาของข้าพเจ้าบ้างไหม ท่านทั้งหลายได้พบมารดาของข้าพเจ้าบ้างไหม พราหมณ์ ข้อที่ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนั้นเป็นอย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้
พราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้แหละ บิดาของหญิงคนหนึ่งได้กระทำกาละลง … พี่ชายน้องชายของหญิงคนหนึ่งได้กระทำกาละลง … พี่สาวน้องสาวของหญิงคนหนึ่งได้กระทำกาละลง … บุตรของหญิงคนหนึ่งได้กระทำกาละลง … ธิดาของหญิงคนหนึ่งได้กระทำกาละลง เพราะการกระทำกาละของธิดานั้น หญิงคนนั้นกลายเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนนทุกถนน เข้าไปตามตรอกทุกตรอก แล้วได้ถามอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายได้พบธิดาของข้าพเจ้าบ้างไหม ท่านทั้งหลายได้พบธิดาของข้าพเจ้าบ้างไหม พราหมณ์ ข้อที่ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนั้นเป็นอย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้.
พราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้แหละ มารดาของชายคนหนึ่งได้ทำกระกาละลง เพราะการกระทำกาละของมารดานั้น ชายคนนั้นกลายเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนนทุกถนน เข้าไปตามตรอกทุกตรอก แล้วได้ถามอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายได้พบมารดาของข้าพเจ้าบ้างไหม ท่านทั้งหลายได้พบมารดาของข้าพเจ้าบ้างไหม พราหมณ์ ข้อที่ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนั้นเป็นอย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้.
พราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้แหละ บิดาของชายคนหนึ่งได้กระทำกาละลง … พี่ชายน้องชายของชายคนหนึ่งได้กระทำกาละลง … พี่สาวน้องสาวของชายคนหนึ่งได้กระทำกาละลง … บุตรของชายคนหนึ่งได้กระทำกาละลง … ธิดาของชายคนหนึ่งได้กระทำกาละลง เพราะการกระทำกาละของธิดานั้น ชายคนนั้นกลายเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนนทุกถนน เข้าไปตามตรอกทุกตรอก แล้วได้ถามอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายได้พบธิดาของข้าพเจ้าบ้างไหม ท่านทั้งหลายได้พบธิดาของข้าพเจ้าบ้างไหม พราหมณ์ ข้อที่ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนั้นเป็นอย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้.
พราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้แหละ หญิงคนหนึ่งได้ไปยังสกุลของญาติ พวกญาติของหญิงคนนั้น ต้องการจะพรากหญิงคนนั้นจากสามีของเธอ แล้วยกเธอให้แก่ชายอื่น แต่หญิงคนนั้นไม่ปรารถนาชายผู้นั้น ครั้งนั้น หญิงคนนั้นจึงได้บอกกะสามีว่า ข้าแต่ลูกเจ้า พวกญาติของดิฉันต้องการจะพรากท่านไปเสีย แล้วยกดิฉันให้แก่ชายอื่น แต่ดิฉันไม่ปรารถนาชายผู้นั้น ครั้งนั้น บุรุษผู้เป็นสามีได้ตัดหญิงผู้เป็นภรรยานั้นออกเป็นสองท่อน แล้วจึงฆ่าตัวตายตามไปด้วยความรักว่า เราทั้งสองจักตายไปด้วยกัน พราหมณ์ ข้อที่ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรักนั้นเป็นอย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้.
ลำดับนั้น นาฬิชังฆพราหมณ์ ชื่นชมยินดี ภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้วลุกจากที่นั่ง ได้เข้าไปเฝ้าพระนางมัลลิกาเทวียังที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถึงการที่ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคทั้งหมดแก่พระนางมัลลิกาเทวี.
ลำดับนั้น พระนางมัลลิกาเทวีได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลถึงที่ประทับ แล้วได้ทูลถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร พระกุมารีพระนามว่าวชิรี เป็นที่รักของพระองค์หรือไม่.
เป็นอย่างนั้น มัลลิกา วชิรีกุมารีเป็นที่รักของเรา.
ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร ถ้าพระวชิรีกุมารีแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดขึ้นแก่พระองค์หรือไม่.
มัลลิกา ถ้าวชิรีกุมารีแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป แม้ชีวิตของเราก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไม โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาสจักไม่เกิดแก่เราเล่า.
ข้าแต่มหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงมุ่งหมายเอา จึงตรัสไว้ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร พระนางวาสภขัตติยาเป็นที่รักของพระองค์หรือไม่.
เป็นอย่างนั้น มัลลิกา พระนางวาสภขัตติยาเป็นที่รักของเรา.
ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร ถ้าพระนางวาสภขัตติยาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดขึ้นแก่พระองค์หรือไม่.
มัลลิกา ถ้าวาสภขัตติยาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป แม้ชีวิตของเราก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไมโสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จักไม่เกิดแก่เราเล่า.
ข้าแต่มหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงมุ่งหมายเอา จึงตรัสไว้ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
ข้าแต่มหาราชา พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร ท่านวิฑูฑภเสนาบดีเป็นที่รักของพระองค์หรือไม่.
เป็นอย่างนั้น มัลลิกา วิฑูฑภเสนาบดีเป็นที่รักของเรา.
ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร ถ้าท่านวิฑูฑภเสนาบดีแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดแก่พระองค์หรือ.
มัลลิกา ถ้าวิฑูฑภเสนาบดีแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป แม้ชีวิตของเราก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไม โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จักไม่เกิดแก่เราเล่า.
ข้าแต่มหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงมุ่งหมายเอา จึงตรัสไว้ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร หม่อมฉันเป็นที่รักของพระองค์หรือ.
อย่างนั้น มัลลิกา เธอเป็นที่รักของเรา.
ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร ถ้าหม่อมฉันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดแก่พระองค์หรือ.
มัลลิกา ถ้าเธอแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป แม้ชีวิตของเราก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไม โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จักไม่เกิดแก่เราเล่า.
ข้าแต่มหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงมุ่งหมายเอา จึงตรัสไว้ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร แคว้นกาสีและแคว้นโกศล เป็นที่รักของพระองค์หรือไม่.
อย่างนั้น มัลลิกา แคว้นกาสีและแคว้นโกศลเป็นที่รักของเรา เพราะอานุภาพแห่งแคว้นกาสีและแคว้นโกศล เราจึงได้ใช้สอยแก่นจันทน์อันเกิดจากแคว้นกาสี ได้ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้.
ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร ถ้าแคว้นกาสีและแคว้นโกศลแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดแก่พระองค์หรือไม่.
มัลลิกา ถ้าแคว้นกาสีและแคว้นโกศลแปรปรวนเป็นอย่างอื่น แม้ชีวิตของเราก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไม โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส จักไม่เกิดแก่เราเล่า.
ข้าแต่มหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงมุ่งหมายเอา จึงตรัสไว้ว่า โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดจากของรัก มีมาจากของรัก.
มัลลิกา ข้อนี้น่าอัศจรรย์ มัลลิกาข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อน ที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จะทรงเห็นชัดด้วยดี แทงตลอดด้วยดีด้วยพระปัญญา มานี่เถิด มัลลิกา ช่วยล้างมือให้ทีเถิด.
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับนั่ง ทรงพระภูษาเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ทรงประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ แล้วทรงเปล่งพระอุทานว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะพระองค์นั้น ดังนี้ ๓ ครั้ง.
-บาลี ม. ม. 13/489/535.
https://84000.org/tipitaka/pali/?13//489
https://etipitaka.com/read/pali/13/489/
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.
Now at that time a certain householder’s dear and beloved only child passed away. After their death he didn’t feel like working or eating. He would go to the cemetery and wail, “Where are you, my only child? Where are you, my only child?”
Then he went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to him, “Householder, you look like someone who’s not in their right mind; your faculties have deteriorated.”
“And how, sir, could my faculties not have deteriorated? For my dear and beloved only child has passed away. Since their death I haven’t felt like working or eating. I go to the cemetery and wail: ‘Where are you, my only child? Where are you, my only child?’”
“That’s so true, householder! That’s so true, householder! For our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.”
“Sir, who on earth could ever think such a thing! For our loved ones are a source of joy and happiness.” Disagreeing with the Buddha’s statement, rejecting it, he got up from his seat and left.
Now at that time several gamblers were playing dice not far from the Buddha. That householder approached them and told them what had happened.
“That’s so true, householder! That’s so true, householder! For our loved ones are a source of joy and happiness.”
Thinking, “The gamblers and I are in agreement,” the householder left.
Eventually that topic of discussion reached the royal compound. Then King Pasenadi addressed Queen Mallikā, “Mallika, your ascetic Gotama said this: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’”
“If that’s what the Buddha said, great king, then that’s how it is.”
“No matter what the ascetic Gotama says, Mallikā agrees with him: ‘If that’s what the Buddha said, great king, then that’s how it is.’ You’re just like a student who agrees with everything their teacher says. Go away, Mallikā, get out of here!”
Then Queen Mallikā addressed the brahmin Nāḷijaṅgha, “Please, brahmin, go to the Buddha, and in my name bow with your head to his feet. Ask him if he is healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. And then say: ‘Sir, did the Buddha make this statement: “Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress”?’ Remember well how the Buddha answers and tell it to me. For Realized Ones say nothing that is not so.”
“Yes, ma’am,” he replied. He went to the Buddha and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to the Buddha, “Master Gotama, Queen Mallikā bows with her head to your feet. She asks if you are healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. And she asks whether the Buddha made this statement: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’”
“That’s right, brahmin, that’s right! For our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.
And here’s a way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. Once upon a time right here in Sāvatthī a certain woman’s mother passed away. And because of that she went mad and lost her mind. She went from street to street and from square to square saying, ‘Has anyone seen my mother? Has anyone seen my mother?’
And here’s another way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.
Once upon a time right here in Sāvatthī a certain woman’s father … brother … sister … son … daughter … husband passed away. And because of that she went mad and lost her mind. She went from street to street and from square to square saying, ‘Has anyone seen my husband? Has anyone seen my husband?’
And here’s another way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.
Once upon a time right here in Sāvatthī a certain man’s mother … father … brother … sister … son … daughter … wife passed away. And because of that he went mad and lost his mind. He went from street to street and from square to square saying, ‘Has anyone seen my wife? Has anyone seen my wife?’
And here’s another way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.
Once upon a time right here in Sāvatthī a certain woman went to live with her relative’s family. But her relatives wanted to divorce her from her husband and give her to another, who she didn’t want. So she told her husband about this. But he cut her in two and disemboweled himself, thinking, ‘We shall be together after death.’ That’s another way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.”
Then Nāḷijaṅgha the brahmin, having approved and agreed with what the Buddha said, got up from his seat, went to Queen Mallikā, and told her of all they had discussed. Then Queen Mallikā approached King Pasenadi and said to him, “What do you think, great king? Do you love Princess Vajirī?”
“Indeed I do, Mallikā.”
“What do you think, great king? If she were to decay and perish, would sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress arise in you?”
“If she were to decay and perish, my life would fall apart. How could sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress not arise in me?”
“This is what the Buddha was referring to when he said: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’
What do you think, great king? Do you love Lady Vāsabhā? …
Do you love your son, General Viḍūḍabha? …
Do you love me?”
“Indeed I do love you, Mallikā.”
“What do you think, great king? If I were to decay and perish, would sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress arise in you?”
“If you were to decay and perish, my life would fall apart. How could sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress not arise in me?”
“This is what the Buddha was referring to when he said: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’
What do you think, great king? Do you love the realms of Kāsi and Kosala?”
“Indeed I do, Mallikā. It’s due to the bounty of Kāsi and Kosala that we use sandalwood imported from Kāsi and wear garlands, perfumes, and makeup.”
“What do you think, great king? If these realms were to decay and perish, would sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress arise in you?”
“If they were to decay and perish, my life would fall apart. How could sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress not arise in me?”
“This is what the Buddha was referring to when he said: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’”
“It’s incredible, Mallikā, it’s amazing, how far the Buddha sees with penetrating wisdom, it seems to me. Come, Mallikā, rinse my hands.”
Then King Pasenadi got up from his seat, arranged his robe over one shoulder, raised his joined palms toward the Buddha, and expressed this heartfelt sentiment three times:
“Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!
Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!
Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!”
English translation by Bhikkhu Suddhāso
Thus have I heard. On one occasion the Blessed One was dwelling at Sāvatthi, in Jeta‘s Grove, at Anāthapiṇḍika‘s park. On this occasion, there was a certain householder whose only son, who was loved by him and pleasing to him, had died. Because of that death, he did not work or eat. He would go to the cemetery and cry, “My only son, where are you? My only son, where are you?”
Then that householder approached the Blessed One, paid respects to him, and sat to one side. When the householder was seated to one side, the Blessed One said to him, “Householder, you do not appear to have a stable mind. You appear to be deranged.”
“Bhante, how could I not be deranged? Bhante, my only son, who I loved and was pleased by, has died. Because of that death, I do not work or eat. I go to the cemetery and cry, ‘My only son, where are you? My only son, where are you?’”
“That‘s how it is, householder, that‘s how it is! Householder, sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection1; they come from affection.”
“Bhante, how can you think that sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection? Bhante, delight and elation are born from affection; they come from affection.” That householder did not delight in the Blessed One‘s speech; he condemned it, rose from his seat, and left.
On this occasion, several gamblers were playing with dice not far from the Blessed One. Then the householder approached those gamblers and said to them, “Sirs, here I approached the contemplative Gotama, paid respects to him, and sat to one side. When I was seated to one side, the Blessed One said to me, ‘Householder, you do not appear to have a stable mind. You appear to be deranged.’ Sirs, when this was said, I said to the contemplative Gotama, ‘Bhante, how could I not be deranged? Bhante, my only son, who I loved and was pleased by, has died. Because of that death, I do not work or eat. I go to the cemetery and cry, “My only son, where are you? My only son, where are you?”’ ‘That‘s how it is, householder, that‘s how it is! Householder, sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection; they come from affection.’ ‘Bhante, how can you think that sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection? Bhante, delight and elation are born from affection; they come from affection.’ Then, sirs, I did not delight in the contemplative Gotama‘s speech; I condemned it, rose from my seat, and left.”
“That‘s how it is, householder, that‘s how it is! Householder, delight and elation are born from affection; they come from affection.”
Then that householder left, thinking “The gamblers agree with me.”
An account of this conversation eventually entered the royal palace. Then King Pasenadi of Kosala said to Queen Mallikā2, “Mallikā, this was said by the contemplative Gotama: ‘Sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection; they come from affection.’”
“Great King, if that is what the Blessed One said, then that‘s how it is.”
“No matter what the contemplative Gotama says, Mallikā approves of it in this way: ‘Great King, if that is what the Blessed One said, then that‘s how it is.’ It is just like when a teacher says something to a student, the student always approves of it by saying ‘That‘s how it is, teacher! That‘s how it is, teacher!’ In the same way, Mallikā, no matter what the contemplative Gotama says, you approve of it in this way: ‘Great King, if that is what the Blessed One said, then that‘s how it is.’ Bah! Mallikā, get lost!”
Then Queen Mallikā addressed the brahmin Nāḷijangha, “Brahmin, go to the Blessed One, and with your head at his feet, revere him with my words: ‘Bhante, Queen Mallikā reveres you with her head at your feet, and asks if you are unafflicted, healthy, unburdened, strong, and comfortable.’ Then say, ‘Bhante, did the Blessed One make the statement “Sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection; they come from affection”?’ As the Blessed One explains, carefully learn what he says and report it to me. Tathāgatas do not speak what is not true.”
“Yes, Madam,” the brahmin Nāḷijangha replied to Queen Mallikā. He approached the Blessed One and conversed with him. After engaging in the appropriate polite conversation, the brahmin Nāḷijangha sat to one side and said to the Blessed One, “Sir Gotama, Queen Mallikā reveres Sir Gotama with her head at your feet. She asks if you are unafflicted, healthy, unburdened, strong, and comfortable. She also says, ‘Bhante, did the Blessed One make the statement “Sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection; they come from affection”?’”
“That‘s how it is, Brahmin, that‘s how it is! Brahmin, sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection; they come from affection. Brahmin, there is a way that one can understand that sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection.
“Brahmin, in the past there was a woman here in Sāvatthi whose mother died. Because of that death, she was distraught and mentally disturbed; she would go from street to street, from intersection to intersection, saying ‘Have you seen my mother? Have you seen my mother?’ Brahmin, this is a way that one can understand that sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection.
“Brahmin, in the past there was a woman here in Sāvatthi whose father… brother… sister… son… daughter… husband died. Because of that death, she was distraught and mentally disturbed; she would go from street to street, from intersection to intersection, saying ‘Have you seen my husband? Have you seen my husband?’ Brahmin, this is a way that one can understand that sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection.
“Brahmin, in the past there was a man here in Sāvatthi whose mother… father… brother… sister… son… daughter… wife died. Because of that death, he was distraught and mentally disturbed; he would go from street to street, from intersection to intersection, saying ‘Have you seen my wife? Have you seen my wife?’ Brahmin, this is a way that one can understand that sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection.
“Brahmin, in the past there was a woman here in Sāvatthi who went to visit her relatives. Her relatives separated her from her husband and wanted to give her to a different man. She did not want that. Then that woman said to her husband, ‘Noble sir, my relatives have separated me from you and want to give me to a different man. I do not want that.’ Then that man cut the woman in two and sliced himself open, saying ‘We will be together after death.’ Brahmin, this is a way that one can understand that sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection.”
Then the brahmin Nāḷijangha delighted in and approved of the Blessed One‘s speech. He rose from his seat, went to Queen Mallikā, and reported to her his entire conversation with the Blessed One.
Then Queen Mallikā went to King Pasenadi and said to him, “What do you think, Great King – do you feel affection for Princess Vajiri3?”
“Yes, Mallikā, I feel affection for Princess Vajiri.”
“What do you think, Great King – if there was a catastrophic change4 in Princess Vajiri, would you experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Mallikā, if there was a catastrophic change in Princess Vajiri, it would seriously alter my life. How could I not experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Great King, when the Blessed One, the One who Knows and Sees, the Worthy One, the Fully Enlightened One, said ‘Sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection,’ this is what he was referring to.
“What do you think, Great King – do you feel affection for Lady Vāsabhā5?”
“Yes, Mallikā, I feel affection for Lady Vāsabhā.”
“What do you think, Great King – if there was a catastrophic change in Lady Vāsabhā, would you experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Mallikā, if there was a catastrophic change in Lady Vāsabhā, it would seriously alter my life. How could I not experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Great King, when the Blessed One, the One who Knows and Sees, the Worthy One, the Fully Enlightened One, said ‘Sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection,’ this is what he was referring to.
“What do you think, Great King – do you feel affection for General Viḍūḍabha6?”
“Yes, Mallikā, I feel affection for General Viḍūḍabha.”
“What do you think, Great King – if there was a catastrophic change in General Viḍūḍabha, would you experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Mallikā, if there was a catastrophic change in General Viḍūḍabha, it would seriously alter my life. How could I not experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Great King, when the Blessed One, the One who Knows and Sees, the Worthy One, the Fully Enlightened One, said ‘Sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection,’ this is what he was referring to.
“What do you think, Great King – do you feel affection for me?”
“Yes, Mallikā, I feel affection for you.”
“What do you think, Great King – if there was a catastrophic change in me, would you experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Mallikā, if there was a catastrophic change in you, it would seriously alter my life. How could I not experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Great King, when the Blessed One, the One who Knows and Sees, the Worthy One, the Fully Enlightened One, said ‘Sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection,’ this is what he was referring to.
“What do you think, Great King – do you feel affection for the Kāsi district of Kosala?”
“Yes, Mallikā, I feel affection for the Kāsi district of Kosala. Mallikā, it is because of power over the Kāsi district of Kosala that we use sandalwood from Kāsi and wear jewelry, fragrances, and cosmetics.”
“What do you think, Great King – if there was a catastrophic change in the Kāsi district of Kosala, would you experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Mallikā, if there was a catastrophic change in the Kāsi district of Kosala, it would seriously alter my life. How could I not experience sorrow, grief, pain, dejection, and anguish?”
“Great King, when the Blessed One, the One who Knows and Sees, the Worthy One, the Fully Enlightened One, said ‘Sorrow, grief, pain, dejection, and anguish are born from affection and come from affection,’ this is what he was referring to.”
“Wonderful, Mallikā! Marvelous, Mallikā! The Blessed One sees so much, with penetrative wisdom. Come, Mallikā, bathe me.”
Then King Pasenadi of Kosala rose from his seat, arranged his upper robe on one shoulder, extended his hands, with palms together, towards the Blessed One, and proclaimed three times: “Homage to the Blessed One, the Worthy One, the Fully Enlightened One! Homage to the Blessed One, the Worthy One, the Fully Enlightened One! Homage to the Blessed One, the Worthy One, the Fully Enlightened One!