พระพุทธเจ้า แสดงธรรมะแก่ท่านวักกลิ ที่ป่วยหนัก (ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์ สมัยนั้น ท่านพระวักกลิป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก พักอยู่ที่นิเวศน์ของนายช่างหม้อ ครั้งนั้น ท่านพระวักกลิ เรียกภิกษุผู้อุปัฏฐากทั้งหลายมาแล้ว กล่าวว่า มาเถิดอาวุโส ท่านทั้งหลาย จงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ จงกราบพระองค์ด้วยเศียรเกล้าตามคำของเรา แล้วกล่าวว่า ภันเต วักกลิภิกษุป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ท่านกราบเท้าพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า และพวกท่านจงกล่าวอย่างนี้ว่า สาธุ ภันเต ขอพระผู้มีพระภาค โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปเยี่ยมวักกลิภิกษุถึงที่อยู่เถิด.
ภิกษุเหล่านั้น รับคำท่านวักกลิแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ … ครั้นแล้ว ได้ทูลว่า ภันเต วักกลิภิกษุป่วย ได้รับทุกข เป็นไข้หนัก ท่านขออภิวาทเท้าพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า และฝากคำกล่าวมาอย่างนี้ว่า สาธุ ภันเต ขอพระผู้มีพระภาคโปรดอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปเยี่ยมวักกลิภิกษุถึงที่อยู่เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงครองผ้าแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปหาท่านวักกลิถึงที่อยู่ ท่านวักกลิได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ครั้นเห็นแล้ว ก็ลุกขึ้นจากเตียง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระวักกลิว่า อย่าเลย วักกลิ เธออย่าลุกจากเตียงเลย อาสนะเหล่านี้ ที่เขาจัดไว้มีอยู่ เราจะนั่งที่อาสนะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้.
ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระวักกลิว่า วักกลิ เธอพอจะอดทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาทุเลาลง ไม่กำเริบขึ้นหรือ ความทุเลาย่อมปรากฏ ความกำเริบไม่ปรากฏหรือ.
ข้าพระองค์ทนไม่ไหว ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์แก่กล้ายิ่งนัก ไม่ลดน้อยไปเลย ความกำเริบปรากฏ ความทุเลาไม่ปรากฏ.
วักกลิ เธอไม่มีความรังเกียจ ไม่มีความเดือดร้อนใดๆ หรือ.
ภันเต แท้ที่จริง ข้าพระองค์มีความรำคาญไม่น้อย มีความเดือดร้อนอยู่ไม่น้อยเลย.
วักกลิ เธอติเตียนตนเองโดยศีลได้หรือไม่.
ภันเต ข้าพระองค์ติเตียนตนเองโดยศีลไม่ได้เลย.
วักกลิ ถ้าเธอติเตียนตนเองโดยศีลไม่ได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจะมีความรังเกียจ มีความเดือดร้อนเพราะเหตุอะไรเล่า.
ภันเต จำเดิมแต่กาลนานมาแล้ว ข้าพระองค์ประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แต่ว่าในร่างกายของข้าพระองค์ ไม่มีกำลังพอที่จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้.
อย่าเลย วักกลิ ประโยชน์อะไรด้วยกายเห็นกายอันเปื่อยเน่านี้ วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเรา ก็ย่อมเห็นธรรม.
วักกลิ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง ภันเต.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ ภันเต.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต.
เวทนา … สัญญา … สังขาร … วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง ภันเต.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ ภันเต.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต.
เพราะเหตุนั้น รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม รูปทั้งหมดนั้น เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
เวทนา … สัญญา … สังขาร … วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม วิญญาณทั้งหมดนั้น เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
วักกลิ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขาร ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว เธอย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก ดังนี้.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอน ท่านพระวักกลิ ด้วยพระโอวาทนี้แล้ว ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จไปยังภูเขาคิชฌกูฏ.
ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน ท่านพระวักกลิได้เรียกภิกษุอุปัฏฐากทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า มาเถิด อาวุโส ท่านจงช่วยอุ้มเราขึ้นเตียง แล้วหามไปยังวิหารกาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ก็ภิกษุผู้เช่นกับเรา เหตุใดเล่า จะพึงสำคัญว่าตนพึงทำกาละในละแวกบ้านเล่า ภิกษุอุปัฏฐากเหล่านั้น รับคำท่านวักกลิแล้ว อุ้มท่านพระวักกลิขึ้นเตียง หามไปยังวิหารกาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ที่ภูเขาคิชฌกูฏตลอดราตรีและวันที่ยังเหลืออยู่นั้น ครั้งนั้น เมื่อปฐมยามผ่านไปแล้ว เทวดา ๒ องค์ มีฉวีวรรณงดงาม ทำภูเขาคิชฌกูฏให้สว่างทั่วไปทั้งหมดแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ในที่สมควร ครั้นแล้ว เทวดาองค์หนึ่ง ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต วักกลิภิกษุ คิดเพื่อความหลุดพ้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต ก็วักกลิภิกษุนั้นหลุดพ้นดีแล้ว จักหลุดพ้นได้แน่แท้ เทวดาเหล่านั้น ได้ทูลอย่างนี้แล้ว ครั้นแล้ว ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วก็หายไป ณ ที่นั้นเอง.
ครั้นพอราตรีนั้นผ่านไป พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลาย จงพากันเข้าไปหาวักกลิภิกษุถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จงบอกวักกลิกภิกษุอย่างนี้ว่า อาวุโสวักกลิ ท่านจงฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคและคำของเทวดา ๒ องค์ อาวุโส ณ ราตรีนี้ เมื่อปฐมยามผ่านไปแล้ว เทวดา ๒ องค์ ผู้มีฉวีวรรณงดงาม ทำภูเขาคิชฌกูฏให้สว่างทั่วไปทั้งหมด เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ในที่สมควร ครั้นแล้ว เทวดาองค์หนึ่ง ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต วักกลิภิกษุ คิดเพื่อความหลุดพ้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต ก็วักกลิภิกษุนั้น หลุดพ้นดีแล้ว จักหลุดพ้นได้แน่แท้ อาวุโสวักกลิ แต่ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านอย่างนี้ว่า อย่ากลัวเลย วักกลิ อย่ากลัวเลย วักกลิ ความตายอันไม่ต่ำทรามจักมีแก่เธอ กาลกิริยาอันไม่เลวทรามจักมีแก่เธอ.
ภิกษุเหล่านั้น รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้วเข้าไปหาท่านพระวักกลิถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะท่านวักกลิว่า อาวุโสวักกลิ ท่านจงฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค และคำของเทวดา ๒ องค์.
ครั้งนั้นแล ท่านพระวักกลิเรียกภิกษุอุปัฏฐากทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า มาเถิดอาวุโส ท่านจงช่วยกันอุ้มเราลงจากเตียง เพราะว่า ภิกษุผู้เช่นกับเรานั่งบนอาสนะสูงแล้ว จะพึงสำคัญว่าตนควรฟังคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคนั้นอย่างไรเล่า.
ภิกษุเหล่านั้น รับคำของท่านพระวักกลิแล้ว ก็ช่วยกันอุ้มท่านพระวักกลิลงจากเตียงแล้ว กล่าวว่า ณ ราตรีนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดา ๒ องค์ … ได้ยืนอยู่ในที่สมควร ครั้นแล้ว เทวดาองค์หนึ่ง ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต วักกลิภิกษุ คิดเพื่อความหลุดพ้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต ก็วักกลิภิกษุนั้น หลุดพ้นแล้ว จักหลุดพ้นได้แน่แท้ อาวุโสวักกลิ แต่ว่าพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถึงท่านอย่างนี้ว่า อย่ากลัวเลย วักกลิ อย่ากลัวเลย วักกลิ ความตายอันไม่ต่ำทรามจักมีแก่เธอ กาลกิริยาไม่เลวทรามจักมีแก่เธอ.
พระวักกลิกล่าวว่า อาวุโส ถ้าเช่นนั้น ท่านจงช่วยกราบเท้าของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า ตามคำของผมด้วยว่า ภันเต วักกลิภิกษุป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก เธอขอกราบเท้าของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า และยังได้สั่งมาทูลอย่างนี้ว่า ภันเต ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า รูปไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า เวทนา … สัญญา … สังขาร … วิญญาณไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้าพระองค์ ดังนี้.
ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระวักกลิแล้วหลีกไป ครั้งนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นหลีกไปไม่นาน ท่านพระวักกลิก็นำเอาศาตรามา.
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วนั่งในที่สมควร ครั้นแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต วักกลิภิกษุป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ท่านขอกราบเท้าของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าและยังได้สั่งมาทูลอย่างนี้ว่า ภันเต ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า รูปไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า เวทนา … สัญญา … สังขาร … วิญญาณไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้าพระองค์ ดังนี้.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย เราจะพากันไปยังวิหารกาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ ซึ่งเป็นที่ที่วักกลิกุลบุตรนำเอาศาสตรามา.
ภิกษุเหล่านั้น รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยังวิหารกาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ พร้อมด้วยภิกษุเป็นจำนวนมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระวักกลินอนคอบิดอยู่บนเตียงแต่ไกลเทียว ก็สมัยนั้น ปรากฏเป็นกลุ่มควัน กลุ่มหมอก ลอยไปทางทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ.
ลำดับนั้นเอง พระผู้มีพระภาคก็ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมองเห็นกลุ่มควัน กลุ่มหมอก ลอยไปทางทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศหรือไม่.
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า เห็น ภันเต.
ภิกษุทั้งหลาย นั่นแหละคือมารผู้มีบาป ค้นหาวิญญาณของวักกลิกุลบุตรด้วยคิดว่า วิญญาณของวักกลิกุลบุตรตั้งอยู่ ณ ที่แห่งไหนหนอ ภิกษุทั้งหลาย วักกลิกุลบุตรมีวิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่ ปรินิพพานแล้ว.
-บาลี ขนฺธ. สํ. 17/145/215.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//145
https://etipitaka.com/read/pali/17/145
English translation by Bhikkhu Sujato
Thus have I heard. On one occasion the Blessed One was dwelling at Rajagaha in the Bamboo Grove, the Squirrel Sanctuary. Now on that occasion the Venerable Vakkali was dwelling in a potter’s shed, sick, afflicted, gravely ill. Then the Venerable Vakkali addressed his attendants:
“Come, friends, approach the Blessed One, pay homage to him in my name with your head at his feet, and say: ‘Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is sick, afflicted, gravely ill; he pays homage to the Blessed One with his head at his feet.’ Then say: ‘It would be good, venerable sir, if the Blessed One would approach the bhikkhu Vakkali out of compassion.’”
“Yes, friend,” those bhikkhus replied, and they approached the Blessed One, paid homage to him, sat down to one side, and delivered their message. The Blessed One consented by silence.
Then the Blessed One dressed and, taking bowl and robe, approached the Venerable Vakkali. The Venerable Vakkali saw the Blessed One coming in the distance and stirred on his bed. The Blessed One said to him: “Enough, Vakkali, do not stir on your bed. There are these seats ready, I will sit down there.”
The Blessed One then sat down on the appointed seat and said to the Venerable Vakkali: “I hope you are bearing up, Vakkali, I hope you are getting better. I hope that your painful feelings are subsiding and not increasing, and that their subsiding, not their increase, is to be discerned.”
“Venerable sir, I am not bearing up, I am not getting better. Strong painful feelings are increasing in me, not subsiding, and their increase, not their subsiding, is to be discerned.”
“I hope then, Vakkali, that you are not troubled by remorse and regret.”
“Indeed, venerable sir, I have quite a lot of remorse and regret.”
“I hope, Vakkali, that you have nothing for which to reproach yourself in regard to virtue.”
“I have nothing, venerable sir, for which to reproach myself in regard to virtue.”
“Then, Vakkali, if you have nothing for which to reproach yourself in regard to virtue, why are you troubled by remorse and regret?”
“For a long time, venerable sir, I have wanted to come to see the Blessed One, but I haven’t been fit enough to do so.”
“Enough, Vakkali! Why do you want to see this foul body? One who sees the Dhamma sees me; one who sees me sees the Dhamma. For in seeing the Dhamma, Vakkali, one sees me; and in seeing me, one sees the Dhamma.
“What do you think, Vakkali, is form permanent or impermanent?”— “Impermanent, venerable sir.”…—“Therefore … Seeing thus … He understands: ‘… there is no more for this state of being.’”
Then the Blessed One, having given this exhortation to the Venerable Vakkali, rose from his seat and departed for Mount Vulture Peak.
Then, not long after the Blessed One had left, the Venerable Vakkali addressed his attendants thus: “Come, friends, lift me up on this bed and carry me to the Black Rock on the Isigili Slope. How can one like me think of dying among the houses?”
“Yes, friend,” those bhikkhus replied and, having lifted up the Venerable Vakkali on the bed, they carried him to the Black Rock on the Isigili Slope.
The Blessed One spent the rest of that day and night on Mount Vulture Peak. Then, when the night was well advanced, two devatās of stunning beauty approached the Blessed One, illuminating the whole of Mount Vulture Peak…. Standing to one side, one devatā said to the Blessed One: “Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is intent on deliverance.” The other devatā said: “Surely, venerable sir, he will be liberated as one well liberated.” This is what those devatās said. Having said this, they paid homage to the Blessed One and, keeping him on their right, they disappeared right there.
Then, when the night had passed, the Blessed One addressed the bhikkhus thus: “Come, bhikkhus, approach the bhikkhu Vakkali and say to him: ‘Friend Vakkali, listen to the word of the Blessed One and two devatās. Last night, friend, when the night was well advanced, two devatās of stunning beauty approached the Blessed One. One devatā said to the Blessed One: “Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is intent on deliverance.” The other devatā said: “Surely, venerable sir, he will be liberated as one well liberated.” And the Blessed One says to you, friend Vakkali: “Do not be afraid, Vakkali, do not be afraid! Your death will not be a bad one. Your demise will not be a bad one.”’”
“Yes, venerable sir,” those bhikkhus replied, and they approached the Venerable Vakkali and said to him: “Friend Vakkali, listen to the word of the Blessed One and two devatās.”
Then the Venerable Vakkali addressed his attendants: “Come, friends, lower me from the bed. How can one like me think of listening to the Blessed One’s teaching while seated on a high seat.”
“Yes, friend,” those bhikkhus replied, and they lowered the Venerable Vakkali from the bed.
“Last night, friend, two devatās of stunning beauty approached the Blessed One. One devatā said to the Blessed One: ‘Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is intent on deliverance.’ The other devatā said: ‘Surely, venerable sir, he will be liberated as one well liberated.’ And the Blessed One says to you, friend Vakkali: ‘Do not be afraid, Vakkali, do not be afraid! Your death will not be a bad one. Your demise will not be a bad one.’”
“Well then, friends, pay homage to the Blessed One in my name with your head at his feet and say: ‘Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is sick, afflicted, gravely ill; he pays homage to the Blessed One with his head at his feet.’ Then say: ‘Form is impermanent: I have no perplexity about this, venerable sir, I do not doubt that whatever is impermanent is suffering. I do not doubt that in regard to what is impermanent, suffering, and subject to change, I have no more desire, lust, or affection. Feeling is impermanent … Perception is impermanent … Volitional formations are impermanent … Consciousness is impermanent: I have no perplexity about this, venerable sir, I do not doubt that whatever is impermanent is suffering. I do not doubt that in regard to what is impermanent, suffering, and subject to change, I have no more desire, lust, or affection.’”
“Yes, friend,” those bhikkhus replied, and then they departed. Then, not long after those bhikkhus had left, the Venerable Vakkali used the knife.
Then those bhikkhus approached the Blessed One … and delivered their message. The Blessed One then addressed the bhikkhus thus: “Come, bhikkhus, let us go to the Black Rock on the Isigili Slope, where the clansman Vakkali has used the knife.”
“Yes, venerable sir,” those bhikkhus replied. Then the Blessed One, together with a number of bhikkhus, went to the Black Rock on the Isigili Slope. The Blessed One saw in the distance the Venerable Vakkali lying on the bed with his shoulder turned.
Now on that occasion a cloud of smoke, a swirl of darkness, was moving to the east, then to the west, to the north, to the south, upwards, downwards, and to the intermediate quarters. The Blessed One then addressed the bhikkhus thus: “Do you see, bhikkhus, that cloud of smoke, that swirl of darkness, moving to the east, then to the west, to the north, to the south, upwards, downwards, and to the intermediate quarters?”
“Yes, venerable sir.”
“That, bhikkhus, is Mara the Evil One searching for the consciousness of the clansman Vakkali, wondering: ‘Where now has the consciousness of the clansman Vakkali been established?’ However, bhikkhus, with consciousness unestablished, the clansman Vakkali has attained final Nibbāna.”
English translation by Bhikkhu Bodhi
Thus have I heard. On one occasion the Blessed One was dwelling at Rajagaha in the Bamboo Grove, the Squirrel Sanctuary. Now on that occasion the Venerable Vakkali was dwelling in a potter’s shed, sick, afflicted, gravely ill. Then the Venerable Vakkali addressed his attendants:
“Come, friends, approach the Blessed One, pay homage to him in my name with your head at his feet, and say: ‘Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is sick, afflicted, gravely ill; he pays homage to the Blessed One with his head at his feet.’ Then say: ‘It would be good, venerable sir, if the Blessed One would approach the bhikkhu Vakkali out of compassion.’”
“Yes, friend,” those bhikkhus replied, and they approached the Blessed One, paid homage to him, sat down to one side, and delivered their message. The Blessed One consented by silence.
Then the Blessed One dressed and, taking bowl and robe, approached the Venerable Vakkali. The Venerable Vakkali saw the Blessed One coming in the distance and stirred on his bed. The Blessed One said to him: “Enough, Vakkali, do not stir on your bed. There are these seats ready, I will sit down there.”
The Blessed One then sat down on the appointed seat and said to the Venerable Vakkali: “I hope you are bearing up, Vakkali, I hope you are getting better. I hope that your painful feelings are subsiding and not increasing, and that their subsiding, not their increase, is to be discerned.”
“Venerable sir, I am not bearing up, I am not getting better. Strong painful feelings are increasing in me, not subsiding, and their increase, not their subsiding, is to be discerned.”
“I hope then, Vakkali, that you are not troubled by remorse and regret.”
“Indeed, venerable sir, I have quite a lot of remorse and regret.”
“I hope, Vakkali, that you have nothing for which to reproach yourself in regard to virtue.”
“I have nothing, venerable sir, for which to reproach myself in regard to virtue.”
“Then, Vakkali, if you have nothing for which to reproach yourself in regard to virtue, why are you troubled by remorse and regret?”
“For a long time, venerable sir, I have wanted to come to see the Blessed One, but I haven’t been fit enough to do so.”
“Enough, Vakkali! Why do you want to see this foul body? One who sees the Dhamma sees me; one who sees me sees the Dhamma. For in seeing the Dhamma, Vakkali, one sees me; and in seeing me, one sees the Dhamma.
“What do you think, Vakkali, is form permanent or impermanent?”— “Impermanent, venerable sir.”…—“Therefore … Seeing thus … He understands: ‘… there is no more for this state of being.’”
Then the Blessed One, having given this exhortation to the Venerable Vakkali, rose from his seat and departed for Mount Vulture Peak.
Then, not long after the Blessed One had left, the Venerable Vakkali addressed his attendants thus: “Come, friends, lift me up on this bed and carry me to the Black Rock on the Isigili Slope. How can one like me think of dying among the houses?”
“Yes, friend,” those bhikkhus replied and, having lifted up the Venerable Vakkali on the bed, they carried him to the Black Rock on the Isigili Slope.
The Blessed One spent the rest of that day and night on Mount Vulture Peak. Then, when the night was well advanced, two devatās of stunning beauty approached the Blessed One, illuminating the whole of Mount Vulture Peak…. Standing to one side, one devatā said to the Blessed One: “Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is intent on deliverance.” The other devatā said: “Surely, venerable sir, he will be liberated as one well liberated.” This is what those devatās said. Having said this, they paid homage to the Blessed One and, keeping him on their right, they disappeared right there.
Then, when the night had passed, the Blessed One addressed the bhikkhus thus: “Come, bhikkhus, approach the bhikkhu Vakkali and say to him: ‘Friend Vakkali, listen to the word of the Blessed One and two devatās. Last night, friend, when the night was well advanced, two devatās of stunning beauty approached the Blessed One. One devatā said to the Blessed One: “Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is intent on deliverance.” The other devatā said: “Surely, venerable sir, he will be liberated as one well liberated.” And the Blessed One says to you, friend Vakkali: “Do not be afraid, Vakkali, do not be afraid! Your death will not be a bad one. Your demise will not be a bad one.”’”
“Yes, venerable sir,” those bhikkhus replied, and they approached the Venerable Vakkali and said to him: “Friend Vakkali, listen to the word of the Blessed One and two devatās.”
Then the Venerable Vakkali addressed his attendants: “Come, friends, lower me from the bed. How can one like me think of listening to the Blessed One’s teaching while seated on a high seat.”
“Yes, friend,” those bhikkhus replied, and they lowered the Venerable Vakkali from the bed.
“Last night, friend, two devatās of stunning beauty approached the Blessed One. One devatā said to the Blessed One: ‘Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is intent on deliverance.’ The other devatā said: ‘Surely, venerable sir, he will be liberated as one well liberated.’ And the Blessed One says to you, friend Vakkali: ‘Do not be afraid, Vakkali, do not be afraid! Your death will not be a bad one. Your demise will not be a bad one.’”
“Well then, friends, pay homage to the Blessed One in my name with your head at his feet and say: ‘Venerable sir, the bhikkhu Vakkali is sick, afflicted, gravely ill; he pays homage to the Blessed One with his head at his feet.’ Then say: ‘Form is impermanent: I have no perplexity about this, venerable sir, I do not doubt that whatever is impermanent is suffering. I do not doubt that in regard to what is impermanent, suffering, and subject to change, I have no more desire, lust, or affection. Feeling is impermanent … Perception is impermanent … Volitional formations are impermanent … Consciousness is impermanent: I have no perplexity about this, venerable sir, I do not doubt that whatever is impermanent is suffering. I do not doubt that in regard to what is impermanent, suffering, and subject to change, I have no more desire, lust, or affection.’”
“Yes, friend,” those bhikkhus replied, and then they departed. Then, not long after those bhikkhus had left, the Venerable Vakkali used the knife.
Then those bhikkhus approached the Blessed One … and delivered their message. The Blessed One then addressed the bhikkhus thus: “Come, bhikkhus, let us go to the Black Rock on the Isigili Slope, where the clansman Vakkali has used the knife.”
“Yes, venerable sir,” those bhikkhus replied. Then the Blessed One, together with a number of bhikkhus, went to the Black Rock on the Isigili Slope. The Blessed One saw in the distance the Venerable Vakkali lying on the bed with his shoulder turned.
Now on that occasion a cloud of smoke, a swirl of darkness, was moving to the east, then to the west, to the north, to the south, upwards, downwards, and to the intermediate quarters. The Blessed One then addressed the bhikkhus thus: “Do you see, bhikkhus, that cloud of smoke, that swirl of darkness, moving to the east, then to the west, to the north, to the south, upwards, downwards, and to the intermediate quarters?”
“Yes, venerable sir.”
“That, bhikkhus, is Mara the Evil One searching for the consciousness of the clansman Vakkali, wondering: ‘Where now has the consciousness of the clansman Vakkali been established?’ However, bhikkhus, with consciousness unestablished, the clansman Vakkali has attained final Nibbāna.”