ให้เป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการตาย
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จเข้าไปยังศาลาภิกษุไข้ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ นี้เป็นคำสอนของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีสติ เป็นอย่างนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้ การเหยียด การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร การกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะ การไป การหยุด การนั่ง การนอน การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ นี้แล เป็นคำสอนของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่อย่างนี้ เมื่อสุขเวทนาเกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วก็เกิดขึ้นไม่ได้ อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า อาศัยเหตุปัจจัยคือ กายนี้นั่นเอง ก็กายนี้ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกาย ซึ่งไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยงได้อย่างไร ดังนี้ ภิกษุนั้น เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่ ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่ในกายและในสุขเวทนา เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง … อยู่ในกายและในสุขเวทนาอยู่ดังนี้ เธอย่อมละเสียได้ ซึ่งราคานุสัย ในกายและในสุขเวทนานั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม อยู่อย่างนี้ เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ทุกขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่ทุกขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วก็เกิดขึ้นไม่ได้ อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า อาศัยเหตุปัจจัยคือ กายนี้นั่นเอง ก็กายนี้ ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกาย ซึ่งไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นทุกขเวทนาที่เที่ยงได้อย่างไร ดังนี้ ภิกษุนั้น เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่ ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่ในกายและในทุกขเวทนา เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง … อยู่ในกายและในทุกขเวทนาอยู่ดังนี้ เธอย่อมละเสียได้ ซึ่งปฏิฆานุสัย ในกายและในทุกขเวทนานั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่อย่างนี้ เมื่ออทุกขมสุขเวทนาเกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า อทุกขมสุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่อทุกขมสุขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วเกิดขึ้นไม่ได้ อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า อาศัยเหตุปัจจัยคือ กายนี้นั่นเอง ก็กายนี้ ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกาย ซึ่งไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นอทุกขมสุขเวทนาที่เที่ยงได้อย่างไร ดังนี้ ภิกษุนั้น เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่ ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่ในกายและในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง … อยู่ในกายและในอทุกขสุขเวทนาอยู่ดังนี้ เธอย่อมละเสียได้ ซึ่งอวิชชานุสัย ในกายและในอทุกขมสุขเวทนานั้น.
ภิกษุนั้น ถ้าได้รับเวทนาอันเป็นสุข เธอย่อมรู้ชัดว่า เวทนานั้นไม่เที่ยง ย่อมรู้ชัดว่าเวทนานั้นเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าเวทนานั้นเราไม่เพลิดเพลินแล้ว ดังนี้ ถ้าได้รับเวทนาอันเป็นทุกข์ เธอย่อมรู้ชัดว่าเวทนานั้นไม่เที่ยง ย่อมรู้ชัดว่าเวทนานั้นเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าเวทนานั้นเราไม่เพลิดเพลินแล้ว ดังนี้ ถ้าได้รับเวทนาอันเป็นอทุกขสุข เธอย่อมรู้ชัดว่าเวทนานั้นไม่เที่ยง ย่อมรู้ชัดว่าเวทนานั้นเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าเวทนานั้นเราไม่เพลิดเพลินแล้ว ดังนี้.
ภิกษุนั้น ถ้าได้รับเวทนาอันเป็นสุข ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันอยู่กับเวทนานั้น ถ้าได้รับเวทนาอันเป็นทุกข์ ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันอยู่กับเวทนานั้น ถ้าได้รับเวทนาอันเป็นอทุกขมสุข ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันอยู่กับเวทนานั้น.
ภิกษุนั้น เมื่อได้รับเวทนาอันมีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่าเราได้รับเวทนาอันมีกายเป็นที่สุด เมื่อได้รับเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่าเราได้รับเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุด เธอย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้วก็ลุกโพลงอยู่ได้ เมื่อขาดปัจจัยเครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้ำมันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น ภิกษุนั้น เมื่อได้รับเวทนาอันมีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่าเราได้รับเวทนาอันมีกายเป็นที่สุด เมื่อได้รับเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่าเราได้รับเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุด เธอย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
-บาลี สฬา. สํ. 18/260/374.
https://84000.org/tipitaka/pali/?18//260, https://etipitaka.com/read/pali/18/260
English translation by Bhikkhu Sujato
At one time the Buddha was staying near Vesālī, at the Great Wood, in the hall with the peaked roof.
Then in the late afternoon, the Buddha came out of retreat and went to the infirmary, where he sat down on the seat spread out, and addressed the mendicants:
“Mendicants, a mendicant should await their time mindful and aware. This is my instruction to you.
And how is a mendicant mindful? It’s when a mendicant meditates by observing an aspect of the body—keen, aware, and mindful, rid of desire and aversion for the world. They meditate observing an aspect of feelings … They meditate observing an aspect of the mind … They meditate observing an aspect of principles—keen, aware, and mindful, rid of desire and aversion for the world. That’s how a mendicant is mindful.
And how is a mendicant aware? It’s when a mendicant acts with situational awareness when going out and coming back; when looking ahead and aside; when bending and extending the limbs; when bearing the outer robe, bowl and robes; when eating, drinking, chewing, and tasting; when urinating and defecating; when walking, standing, sitting, sleeping, waking, speaking, and keeping silent. That’s how a mendicant acts with situational awareness. A mendicant should await their time mindful and aware. This is my instruction to you.
While a mendicant is meditating like this—mindful, aware, diligent, keen, and resolute—if pleasant feelings arise, they understand: ‘A pleasant feeling has arisen in me. That’s dependent, not independent. Dependent on what? Dependent on my own body. But this body is impermanent, conditioned, dependently originated. So how could a pleasant feeling be permanent, since it has arisen dependent on a body that is impermanent, conditioned, and dependently originated?’ They meditate observing impermanence, vanishing, dispassion, cessation, and letting go in the body and pleasant feeling. As they do so, they give up the underlying tendency for greed for the body and pleasant feeling.
While a mendicant is meditating like this—mindful, aware, diligent, keen, and resolute—if painful feelings arise, they understand: ‘A painful feeling has arisen in me. That’s dependent, not independent. Dependent on what? Dependent on my own body. But this body is impermanent, conditioned, dependently originated. So how could a painful feeling be permanent, since it has arisen dependent on a body that is impermanent, conditioned, and dependently originated?’ They meditate observing impermanence, vanishing, dispassion, cessation, and letting go in the body and painful feeling. As they do so, they give up the underlying tendency for repulsion towards the body and painful feeling.
While a mendicant is meditating like this—mindful, aware, diligent, keen, and resolute—if neutral feelings arise, they understand: ‘A neutral feeling has arisen in me. That’s dependent, not independent. Dependent on what? Dependent on my own body. But this body is impermanent, conditioned, dependently originated. So how could a neutral feeling be permanent, since it has arisen dependent on a body that is impermanent, conditioned, and dependently originated?’ They meditate observing impermanence, vanishing, dispassion, cessation, and letting go in the body and neutral feeling. As they do so, they give up the underlying tendency for ignorance towards the body and neutral feeling.
If they feel a pleasant feeling, they understand that it’s impermanent, that they’re not attached to it, and that they don’t take pleasure in it. If they feel a painful feeling, they understand that it’s impermanent, that they’re not attached to it, and that they don’t take pleasure in it. If they feel a neutral feeling, they understand that it’s impermanent, that they’re not attached to it, and that they don’t take pleasure in it.
If they feel a pleasant feeling, they feel it detached. If they feel a painful feeling, they feel it detached. If they feel a neutral feeling, they feel it detached.
Feeling the end of the body approaching, they understand: ‘I feel the end of the body approaching.’ Feeling the end of life approaching, they understand: ‘I feel the end of life approaching.’ They understand: ‘When my body breaks up and my life has come to an end, everything that’s felt, since I no longer take pleasure in it, will become cool right here.’
Suppose an oil lamp depended on oil and a wick to burn. As the oil and the wick are used up, it would be extinguished due to lack of fuel.
In the same way, feeling the end of the body approaching, a mendicant understands: ‘I feel the end of the body approaching.’ Feeling the end of life approaching, a mendicant understands: ‘I feel the end of life approaching.’ They understand: ‘When my body breaks up and my life is over, everything that’s felt, since I no longer take pleasure in it, will become cool right here.’”
English translation by Bhikkhu Bodhi
“Bhikkhus, a bhikkhu should await his time mindful and clearly comprehending. This is our instruction to you.
“And how, bhikkhus, is a bhikkhu mindful? Here, bhikkhus, a bhikkhu dwells contemplating the body in the body, ardent, clearly comprehending, mindful, having put away covetousness and displeasure in regard to the world. He dwells contemplating feelings in feelings … mind in mind … phenomena in phenomena, ardent, clearly comprehending, mindful, having put away covetousness and displeasure in regard to the world. It is in such a way that a bhikkhu is mindful.
“And how, bhikkhus, does a bhikkhu exercise clear comprehension? Here, bhikkhus, a bhikkhu is one who acts with clear comprehension when going forward and returning; when looking ahead and looking aside; when drawing in and extending the limbs; when wearing his robes and carrying his outer robe and bowl; when eating, drinking, chewing his food, and tasting; when defecating and urinating; when walking, standing, sitting, falling asleep, waking up, speaking, and keeping silent. It is in such a way that a bhikkhu exercises clear comprehension.
“A bhikkhu should await his time mindful and clearly comprehending. This is our instruction to you.
“Bhikkhus, while a bhikkhu dwells thus, mindful and clearly comprehending, diligent, ardent, and resolute, if there arises in him a pleasant feeling, he understands thus: ‘There has arisen in me a pleasant feeling. Now that is dependent, not independent. Dependent on what? Dependent on this very body. But this body is impermanent, conditioned, dependently arisen. So when the pleasant feeling has arisen in dependence on a body that is impermanent, conditioned, dependently arisen, how could it be permanent?’ He dwells contemplating impermanence in the body and in pleasant feeling, he dwells contemplating vanishing, contemplating fading away, contemplating cessation, contemplating relinquishment. As he dwells thus, the underlying tendency to lust in regard to the body and in regard to pleasant feeling is abandoned by him.
“Bhikkhus, while a bhikkhu dwells thus, mindful and clearly comprehending, diligent, ardent, and resolute, if there arises in him a painful feeling, he understands thus: ‘There has arisen in me a painful feeling. Now that is dependent, not independent. Dependent on what? Dependent on just this body. But this body is impermanent, conditioned, dependently arisen. So when the painful feeling has arisen in dependence on a body that is impermanent, conditioned, dependently arisen, how could it be permanent? ’ He dwells contemplating impermanence in the body and in painful feeling, he dwells contemplating vanishing, contemplating fading away, contemplating cessation, contemplating relinquishment. As he dwells thus, the underlying tendency to aversion in regard to the body and in regard to painful feeling is abandoned by him.
“Bhikkhus, while a bhikkhu dwells thus, mindful and clearly comprehending, diligent, ardent, and resolute, if there arises in him a neither-painful-nor-pleasant feeling, he understands thus: ‘There has arisen in me a neither-painful-nor-pleasant feeling. Now that is dependent, not independent. Dependent on what? Dependent on just this body. But this body is impermanent, conditioned, dependently arisen. So when the neither-painful-nor-pleasant feeling has arisen in dependence on a body that is impermanent, conditioned, dependently arisen, how could it be permanent?’ He dwells contemplating impermanence in the body and in neither-painful-nor-pleasant feeling, he dwells contemplating vanishing, contemplating fading away, contemplating cessation, contemplating relinquishment. As he dwells thus, the underlying tendency to ignorance in regard to the body and in regard to neither-painful-nor-pleasant feeling is abandoned by him.
“If he feels a pleasant feeling, he understands: ‘It is impermanent’; he understands: ‘It is not held to’; he understands: ‘It is not delighted in.’ If he feels a painful feeling, he understands: ‘It is impermanent’; he understands: ‘It is not held to’; he understands: ‘It is not delighted in.’ If he feels a neither-painful-nor-pleasant feeling, he understands: ‘It is impermanent’; he understands: ‘It is not held to’; he understands: ‘It is not delighted in.’
“If he feels a pleasant feeling, he feels it detached; if he feels a painful feeling, he feels it detached; if he feels a neither-painful-nor-pleasant feeling, he feels it detached.
“When he feels a feeling terminating with the body, he understands: ‘I feel a feeling terminating with the body.’ When he feels a feeling terminating with life, he understands: ‘I feel a feeling terminating with life.’ He understands: ‘With the breakup of the body, following the exhaustion of life, all that is felt, not being delighted in, will become cool right here.’
“Just as, bhikkhus, an oil lamp burns in dependence on the oil and the wick, and with the exhaustion of the oil and the wick it is extinguished through lack of fuel, so too, bhikkhus, when a bhikkhu feels a feeling terminating with the body … terminating with life … He understands: ‘With the breakup of the body, following the exhaustion of life, all that is felt, not being delighted in, will become cool right here.’”