เหตุให้ไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังที่อยู่ของอุบาสิกาชื่อมิคสาลา แล้วนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้ ครั้งนั้น อุบาสิกาชื่อมิคสาลา เข้าไปหาท่านพระอานนท์ อภิวาทแล้วนั่งในที่สมควร ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอานนท์ว่า
ภันเตอานนท์ ธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันเป็นเหตุให้คน ๒ คน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ และอีกคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ พึงรู้ได้อย่างไร ภันเต บิดาของดิฉันชื่อปุราณะ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล งดเว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมดาของชาวบ้าน ท่านทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคล เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต ภันเต บุรุษชื่ออิสิทัตตะ ผู้เป็นที่รักของบิดาดิฉัน ไม่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ (แต่ยัง) ยินดีด้วยภรรยาของตน แม้เขาทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคล เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต ภันเตอานนท์ ธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันเป็นเหตุให้คน ๒ คน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ และอีกคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีสติเสมอกันในสัมปรายภพ พึงรู้ได้อย่างไร.
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า น้องหญิง ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้อย่างนั้น.
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์รับบิณฑบาตในที่อยู่ของอุบาสิกาชื่อมิคสาลาแล้ว ลุกจากอาสนะกลับไป ครั้นท่านพระอานนท์กลับจากบิณฑบาต ภายหลังอาหาร ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่งในที่สมควร ครั้นแล้วได้ทูลว่า
ภันเต ในเวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังที่อยู่ของอุบาสิกาชื่อมิคสาลา แล้วนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้ ลำดับนั้น อุบาสิกาชื่อมิคสาลา เข้าไปหาข้าพระองค์ อภิวาทแล้วนั่งในที่สมควร ครั้นแล้วได้ถามข้าพระองค์ว่า ภันเตอานนท์ ธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันเป็นเหตุให้คน ๒ คน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ และอีกคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ พึงรู้ได้อย่างไร ภันเต บิดาของดิฉันชื่อปุราณะ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล งดเว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมดาของชาวบ้าน ท่านทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคล เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต ภันเต บุรุษชื่ออิสิทัตตะ ผู้เป็นที่รักของบิดาดิฉัน ไม่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ (แต่ยัง) ยินดีด้วยภรรยาของตน แม้เขาทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคล เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต ภันเตอานนท์ ธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วอันเป็นเหตุให้คน ๒ คน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ และอีกคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ พึงรู้ได้อย่างไร เมื่ออุบาสิกาชื่อมิคสาลากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะอุบาสิกาชื่อมิคสาลาว่า น้องหญิง ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้อย่างนี้.
อานนท์ ก็มิคสาลาอุบาสิกาเป็นคนเขลา เป็นคนไม่ฉลาด เป็นสตรีที่รู้แต่เรื่องสตรีเป็นใคร และสัมมาสัมพุทธะเป็นใคร ในญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของบุคคล อานนท์ บุคคล ๑๐ จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ในโลก ๑๐ จำพวกอะไรบ้าง คือ
๑) อานนท์ บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทุศีล และไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และไม่ได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ.
๒) อานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ทุศีล แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม.
อานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมแม้ของบุคคลนี้ก็คือธรรมของอีกบุคคลหนึ่งนั้นแหละ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น เพราะเหตุใดคนหนึ่งจึงเลว คนหนึ่งจึงดี อานนท์ แท้จริง การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความทุกข์ตลอดกาลนาน อานนท์ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น บุคคลใดเป็นผู้ทุศีล แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย อานนท์ บุคคลนี้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต อานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้.
๓) อานนท์ บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีศีล แต่ไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มีศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และไม่ได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ.
๔) อานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีศีล และรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มีศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม.
อานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมแม้ของบุคคลนี้ก็คือธรรมของอีกบุคคลหนึ่งนั้นแหละ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น เพราะเหตุใดคนหนึ่งจึงเลว คนหนึ่งจึงดี อานนท์ แท้จริง การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความทุกข์ตลอดกาลนาน อานนท์ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น บุคคลใดเป็นผู้มีศีล และรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มีศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย อานนท์ บุคคลนี้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต อานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้.
๕) อานนท์ บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีราคะกล้า และไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มีราคะกล้าของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และไม่ได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเสื่อมไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ.
๖) อานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีราคะกล้า แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มีราคะกล้าของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม.
อานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมแม้ของบุคคลนี้ก็คือธรรมของอีกบุคคลหนึ่งนั้นแหละ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น เพราะเหตุใดคนหนึ่งจึงเลว คนหนึ่งจึงดี อานนท์ แท้จริง การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความทุกข์ตลอดกาลนาน อานนท์ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น บุคคลใดเป็นผู้มีราคะกล้า แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มีราคะกล้าของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย อานนท์ บุคคลนี้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต อานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้.
๗) อานนท์ บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มักโกรธ และไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มักโกรธของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และไม่ได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ.
๘) อานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มักโกรธ แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มักโกรธของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม.
อานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมแม้ของบุคคลนี้ก็คือธรรมของอีกบุคคลหนึ่งนั้นแหละ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น เพราะเหตุใดคนหนึ่งจึงเลว คนหนึ่งจึงดี อานนท์ แท้จริง การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความทุกข์ตลอดกาลนาน อานนท์ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น บุคคลใดเป็นผู้มักโกรธ แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้มักโกรธของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย อานนท์ บุคคลนี้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต อานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้.
๙) อานนท์ บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน และไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และไม่ได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ.
๑๐) อานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม.
อานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมแม้ของบุคคลนี้ก็คือธรรมของอีกบุคคลหนึ่งนั้นแหละ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น เพราะเหตุใดคนหนึ่งจึงเลว คนหนึ่งจึงดี อานนท์ แท้จริง การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความทุกข์ตลอดกาลนาน อานนท์ ในบรรดาบุคคล ๒ คนนั้น บุคคลใดเป็นผู้ฟุ้งซ่าน แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจด้วยการฟัง กระทำกิจด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น และได้วิมุตติอันเกิดในสมัย อานนท์ บุคคลนี้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต อานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้.
อานนท์ ก็มิคสาลาอุบาสิกาเป็นคนเขลา เป็นคนไม่ฉลาด เป็นสตรีที่รู้แต่เรื่องสตรีเป็นใคร และสัมมาสัมพุทธะเป็นใคร ในญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของบุคคล อานนท์ บุคคล ๑๐ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก.
อานนท์ บุรุษชื่อปุราณะเป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นใด บุรุษชื่ออิสิทัตตะก็เป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นนั้น บุรุษชื่อปุราณะ จะได้รู้แม้คติของบุรุษชื่ออิสิทัตตะในกรณีนี้ก็หามิได้ บุรุษชื่ออิสิทัตตะเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเช่นใด บุรุษชื่อปุราณะก็เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเช่นนั้น บุรุษชื่ออิสิทัตตะจะได้รู้แม้คติของบุรุษชื่อปุราณะในกรณีนี้ก็หามิได้ อานนท์ บุคคลทั้ง ๒ นี้ เป็นผู้ต่ำกว่ากันด้วยองค์คุณคนละอย่าง ด้วยอาการอย่างนี้.
-บาลี ทสก. อํ. 24/148/75.
https://84000.org/tipitaka/pali/?24//148
https://etipitaka.com/read/pali/24/148/
English translation by Bhikkhu Sujato
At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery. Then Venerable Ānanda robed up in the morning and, taking his bowl and robe, went to the home of the laywoman Migasālā, where he sat on the seat spread out. Then the laywoman Migasālā went up to Ānanda, bowed, sat down to one side, and said to him:
“Sir, Ānanda, how on earth are we supposed to understand the teaching taught by the Buddha, when the chaste and the unchaste are both reborn in exactly the same place in the next life? My father Purāṇa was celibate, set apart, avoiding the common practice of sex. When he passed away the Buddha declared that he was a once-returner, who was reborn in the company of the Joyful Gods. But my uncle Isidatta was not celibate; he lived content with his wife. When he passed away the Buddha declared that he was also a once-returner, who was reborn in the company of the Joyful Gods.
How on earth are we supposed to understand the teaching taught by the Buddha, when the chaste and the unchaste are both reborn in exactly the same place in the next life?”
“You’re right, sister, but that’s how the Buddha declared it.”
Then Ānanda, after receiving almsfood at Migasālā’s home, rose from his seat and left. Then after the meal, on his return from alms-round, Ānanda went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened.
“Ānanda, who is this laywoman Migasālā, a foolish incompetent aunty, with an aunty’s wit? And who is it that knows how to assess individuals?
These ten people are found in the world. What ten? Take a certain person who is unethical. And they don’t truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that unethical conduct ceases without anything left over. And they’ve not listened or learned or comprehended theoretically or found even temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a lower place, not a higher. They’re going to a lower place, not a higher.
Take a certain person who is unethical. But they truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that unethical conduct ceases without anything left over. And they have listened and learned and comprehended theoretically and found at least temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a higher place, not a lower. They’re going to a higher place, not a lower.
Judgmental people compare them, saying: ‘This one has just the same qualities as the other, so why is one worse and one better?’ This will be for their lasting harm and suffering.
In this case, the person who is unethical, but truly understands the freedom of heart … and has listened and learned and comprehended theoretically and found at least temporary freedom is better and finer than the other person. Why is that? Because the stream of the teaching carries them along. But who knows the difference between them except a Realized One? So, Ānanda, don’t be judgmental about people. Don’t pass judgment on people. Those who pass judgment on people harm themselves. I, or someone like me, may pass judgment on people.
Take a certain person who is ethical. But they don’t truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that ethical conduct ceases without anything left over. And they’ve not listened or learned or comprehended theoretically or found even temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a lower place, not a higher. They’re going to a lower place, not a higher.
Take a certain person who is ethical. And they truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that ethical conduct ceases without anything left over. And they’ve listened and learned and comprehended theoretically and found at least temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a higher place, not a lower. They’re going to a higher place, not a lower.
Judgmental people compare them … I, or someone like me, may pass judgment on people.
Take a certain person who is very lustful. And they don’t truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that lust ceases without anything left over. And they’ve not listened or learned or comprehended theoretically or found even temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a lower place, not a higher. They’re going to a lower place, not a higher.
Take a certain person who is very lustful. But they truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that lust ceases without anything left over. And they’ve listened and learned and comprehended theoretically and found at least temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a higher place, not a lower. They’re going to a higher place, not a lower.
Judgmental people compare them … I, or someone like me, may pass judgment on people.
Take a certain person who is irritable. And they don’t truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that anger ceases without anything left over. And they’ve not listened or learned or comprehended theoretically or found even temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a lower place, not a higher. They’re going to a lower place, not a higher.
Take a certain person who is irritable. But they truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that anger ceases without anything left over. And they’ve listened and learned and comprehended theoretically and found at least temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a higher place, not a lower. They’re going to a higher place, not a lower.
Judgmental people compare them … I, or someone like me, may pass judgment on people.
Take a certain person who is restless. And they don’t truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that restlessness ceases without anything left over. And they’ve not listened or learned or comprehended theoretically or found even temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a lower place, not a higher. They’re going to a lower place, not a higher.
Take a certain person who is restless. But they truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where that restlessness ceases without anything left over. And they’ve listened and learned and comprehended theoretically and found at least temporary freedom. When their body breaks up, after death, they’re headed for a higher place, not a lower. They’re going to a higher place, not a lower.
Judgmental people compare them, saying: ‘This one has just the same qualities as the other, so why is one worse and one better?’ This will be for their lasting harm and suffering.
In this case the person who is restless, but truly understands the freedom of heart … and has listened and learned and comprehended theoretically and found at least temporary freedom is better and finer than the other person. Why is that? Because the stream of the teaching carries them along. But who knows the difference between them except a Realized One? So, Ānanda, don’t be judgmental about people. Don’t pass judgment on people. Those who pass judgment on people harm themselves. I, or someone like me, may pass judgment on people.
Who is this laywoman Migasālā, a foolish incompetent aunty, with an aunty’s wit? And who is it that knows how to assess individuals? These ten people are found in the world.
If Isidatta had achieved Purāṇa’s level of ethical conduct, Purāṇa could not have even known Isidatta’s destination. And if Purāṇa had achieved Isidatta’s level of wisdom, Isidatta could not have even known Purāṇa’s destination. So both individuals were lacking in one respect.”