อานาปานสติ ระงับได้ซึ่งอกุศล
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสสอนอสุภ ตรัสสรรเสริญคุณแห่งอสุภ ตรัสสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอสุภ แก่ภิกษุทั้งหลายโดยอเนกปริยาย ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่สักครึ่งเดือน ใครๆ ไม่พึงเข้าไปหาเรา เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาต (ไปให้) เพียงรูปเดียว.
ภิกษุเหล่านั้นรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงไม่มีใครๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาต (ไปให้) เพียงรูปเดียว ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นคิดกันว่า พระผู้มีพระภาคตรัสสอนอสุภ ตรัสสรรเสริญคุณแห่งอสุภ ตรัสสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอสุภ โดยอเนกปริยาย จึงขวนขวายประกอบความเพียรในการเจริญอสุภหลายประการ ภิกษุเหล่านั้นจึงเกิดความรู้สึกอึดอัด เบื่อหน่าย รังเกียจร่างกายของตน ได้แสวงหาศาสตราสำหรับฆ่าตัวตาย วันเดียวภิกษุก็นำศาสตรามาฆ่าตัวตาย ๑๐ รูปบ้าง ๒๐ รูปบ้าง ๓๐ รูปบ้าง.
ครั้งนั้น เมื่อผ่านครึ่งเดือนนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้น ได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาถามว่า อานนท์ เพราะเหตุไรหนอ ภิกษุสงฆ์จึงดูเหมือนเบาบางไป.
ท่านพระอานนท์ทูลว่า เป็นอย่างนั้น ภันเต ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า พระผู้มีพระภาคตรัสสอนอสุภ ตรัสสรรเสริญคุณแห่งอสุภ ตรัสสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอสุภ โดยอเนกปริยาย จึงขวนขวายประกอบความเพียรในการเจริญอสุภหลายประการ ภิกษุเหล่านั้นจึงเกิดความรู้สึกอึดอัด เบื่อหน่าย รังเกียจร่างกายของตน ได้แสวงหาศาสตราสำหรับฆ่าตัวตาย วันเดียวภิกษุก็นำศาสตรามาฆ่าตัวตาย ๑๐ รูปบ้าง ๒๐ รูปบ้าง ๓๐ รูปบ้าง สาธุ ภันเต ขอพระผู้มีพระภาคโปรดบอกปริยายอื่น โดยวิธีที่ภิกษุสงฆ์นี้จะพึงตั้งอยู่ในอรหัตผลเถิด.
อานนท์ ถ้าอย่างนั้น ภิกษุมีประมาณเท่าใด ที่อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี เธอจงให้ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดมาประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา.
ท่านพระอานนท์รับพระดำรัสพระผู้มีพระภาค แล้วได้บอกภิกษุทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ให้มาประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทูลว่า ภันเต ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคจงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลา แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ ครั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธินี้แล อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นของระงับ เป็นของประณีต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่เกิดขึ้นแล้วและเกิดขึ้นแล้ว ให้อันตรธานไป ให้ระงับไป โดยควรแก่ฐานะ.
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนฝุ่นธุลีฟุ้งขึ้นแห่งเดือนสุดท้ายของฤดูร้อน ฝนหนักที่ผิดฤดูตกลงมา ย่อมทำฝุ่นธุลีเหล่านั้น ให้อันตรธานไป ให้ระงับไปได้ โดยควรแก่ฐานะ ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ก็เป็นของระงับ เป็นของประณีต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่เกิดขึ้นแล้วและเกิดขึ้นแล้ว ให้อันตรธานไป ให้ระงับไปได้ โดยควรแก่ฐานะ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างไร จึงเป็นของระงับ เป็นของประณีต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่เกิดขึ้นแล้วและเกิดขึ้นแล้ว ให้อันตรธานไป ให้ระงับไปได้ โดยควรแก่ฐานะ.
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก.
เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งกายทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งกายทั้งปวงหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักทำกายสังขารให้ระงับหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักทำกายสังขารให้ระงับหายใจออก.
ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งปีติหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งปีติหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งสุขหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งสุขหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งจิตตสังขารหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งจิตตสังขารหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักทำจิตตสังขารให้ระงับหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักทำจิตตสังขารให้ระงับหายใจออก.
ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งจิตหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักรู้พร้อมซึ่งจิตหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักทำจิตให้ตั้งมั่นหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักทำจิตให้ตั้งมั่นหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักปล่อยจิตหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักปล่อยจิตหายใจออก.
ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักพิจารณาเห็นความจางคลายหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักพิจารณาเห็นความจางคลายหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักพิจารณาเห็นความดับไม่เหลือหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักพิจารณาเห็นความดับไม่เหลือหายใจออก ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักพิจารณาเห็นความสลัดคืนหายใจเข้า ย่อมทำการศึกษาว่าเราจักพิจารณาเห็นความสลัดคืนหายใจออก.
ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมเป็นของระงับ เป็นของประณีต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่เกิดขึ้นแล้วและเกิดขึ้นแล้ว ให้อันตรธานไป ให้ระงับไปได้ โดยควรแก่ฐานะ ดังนี้แล.
-บาลี มหา. วิ. 1/128/176.,-บาลี มหาวาร. สํ. 19/405/1348.
https://84000.org/tipitaka/pali/?1//128
https://84000.org/tipitaka/pali/?1//405
https://etipitaka.com/read/pali/1/128/
https://etipitaka.com/read/pali/19/405/
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Vesālī, at the Great Wood, in the hall with the peaked roof. Now at that time the Buddha spoke in many ways to the mendicants about the meditation on ugliness. He praised the meditation on ugliness and its development.
Then the Buddha said to the mendicants, “Mendicants, I wish to go on retreat for a fortnight. No-one should approach me, except for the one who brings my almsfood.”
“Yes, sir,” replied those mendicants. And no-one approached him, except for the one who brought the almsfood.
Then those mendicants thought, “The Buddha spoke in many ways about the meditation on ugliness. He praised the meditation on ugliness and its development.” They committed themselves to developing the many different facets of the meditation on ugliness. Becoming horrified, repelled, and disgusted with this body, they looked for someone to slit their wrists. Each day ten, twenty, or thirty mendicants slit their wrists.
Then after a fortnight had passed, the Buddha came out of retreat and addressed Ānanda, “Ānanda, why does the mendicant Saṅgha seem so diminished?”
Ānanda told the Buddha all that had happened, and said, “Sir, please explain another way for the mendicant Saṅgha to get enlightened.”
“Well then, Ānanda, gather all the mendicants staying in the vicinity of Vesālī together in the assembly hall.”
“Yes, sir,” replied Ānanda. He did what the Buddha asked, went up to him, and said, “Sir, the mendicant Saṅgha has assembled. Please, sir, come at your convenience.”
Then the Buddha went to the assembly hall, sat down on the seat spread out, and addressed the mendicants:
“Mendicants, when this immersion due to mindfulness of breathing is developed and cultivated it’s peaceful and sublime, a deliciously pleasant meditation. And it disperses and settles unskillful qualities on the spot whenever they arise.
In the last month of summer, when the dust and dirt is stirred up, a large sudden storm disperses and settles it on the spot.
In the same way, when this immersion due to mindfulness of breathing is developed and cultivated it’s peaceful and sublime, a deliciously pleasant meditation. And it disperses and settles unskillful qualities on the spot whenever they arise. And how is it so developed and cultivated?
It’s when a mendicant—gone to a wilderness, or to the root of a tree, or to an empty hut—sits down cross-legged, with their body straight, and focuses their mindfulness right there.
Just mindful, they breathe in. Mindful, they breathe out.
When breathing in heavily they know: ‘I’m breathing in heavily.’ When breathing out heavily they know: ‘I’m breathing out heavily.’ When breathing in lightly they know: ‘I’m breathing in lightly.’ When breathing out lightly they know: ‘I’m breathing out lightly.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in experiencing the whole body.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out experiencing the whole body.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in stilling physical processes.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out stilling physical processes.’
They practice like this: ‘I’ll breathe in experiencing rapture.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out experiencing rapture.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in experiencing bliss.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out experiencing bliss.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in experiencing mental processes.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out experiencing mental processes.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in stilling mental processes.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out stilling mental processes.’
They practice like this: ‘I’ll breathe in experiencing the mind.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out experiencing the mind.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in gladdening the mind.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out gladdening the mind.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in immersing the mind in samādhi.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out immersing the mind in samādhi.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in freeing the mind.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out freeing the mind.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in observing impermanence.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out observing impermanence.’
They practice like this: ‘I’ll breathe in observing fading away.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out observing fading away.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in observing cessation.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out observing cessation.’ They practice like this: ‘I’ll breathe in observing letting go.’ They practice like this: ‘I’ll breathe out observing letting go.’
That’s how this immersion due to mindfulness of breathing is developed and cultivated so that it’s peaceful and sublime, a deliciously pleasant meditation. And it disperses and settles unskillful qualities on the spot whenever they arise.”