สิ่งที่ใครๆ ในโลกไม่ได้ตามปรารถนา (๑)
ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการเหล่านี้ อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่พึงได้ตามปรารถนา ๕ ประการอะไรบ้าง คือ สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่อาจได้ตามปรารถนาว่า
๑) สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา อย่าแก่เลย
๒) สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าเจ็บไข้เลย
๓) สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา อย่าตายเลย
๔) สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา อย่าสิ้นไปเลย
๕) สิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา อย่าวินาศเลย
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา ก็ย่อมแก่สำหรับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่แล้ว เขาก็ไม่พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา จะแก่สำหรับเราผู้เดียวเท่านั้น โดยที่แท้แล้ว สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมแก่สำหรับสัตว์ทั้งปวง ที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว เราจะมามัวเศร้าโศก กระวนกระวาย ร่ำไรรำพัน ทุบอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหล แม้อาหารก็ไม่ย่อย กายก็เศร้าหมอง การงานก็หยุดชะงัก พวกอมิตรก็ดีใจ มิตรสหายก็เศร้าใจ ดังนี้ ปุถุชนนั้น เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว ย่อมเศร้าโศก กระวนกระวาย ร่ำไรรำพัน เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ย่อมถึงความหลงใหล ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับนี้ ถูกลูกศรแห่งความโศก อันมีพิษเสียบแทงแล้ว ทำตนเองให้เดือดร้อนอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็ย่อมเจ็บไข้สำหรับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ … สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ก็ย่อมตายสำหรับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ … สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ก็ย่อมสิ้นไปสำหรับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ … สิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา ก็ย่อมวินาศสำหรับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เมื่อสิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดาวินาศแล้ว เขาก็ไม่พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา จะวินาศสำหรับเราผู้เดียวเท่านั้น โดยที่แท้แล้ว สิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา ย่อมวินาศสำหรับสัตว์ทั้งปวง ที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็เมื่อสิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา วินาศแล้ว เราจะมามัวเศร้าโศก กระวนกระวาย ร่ำไรรำพัน ทุบอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหล แม้อาหารก็ไม่ย่อย กายก็เศร้าหมอง การงานก็หยุดชะงัก พวกอมิตรก็ดีใจ มิตรสหายก็เศร้าใจ ดังนี้ ปุถุชนนั้น เมื่อสิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา วินาศแล้ว ย่อมเศร้าโศก กระวนกระวาย ร่ำไรรำพัน เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ย่อมถึงความหลงใหล ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับนี้ ถูกลูกศรแห่งความโศก อันมีพิษเสียบแทงแล้ว ทำตนเองให้เดือดร้อนอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา ก็ย่อมแก่สำหรับอริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา จะแก่สำหรับเราผู้เดียวเท่านั้น โดยที่แท้แล้ว สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมแก่สำหรับสัตว์ทั้งปวง ที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว เราจะมามัวเศร้าโศก กระวนกระวาย ร่ำไรรำพัน ทุบอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหล แม้อาหารก็ไม่ย่อย กายก็เศร้าหมอง การงานก็หยุดชะงัก พวกอมิตรก็ดีใจ มิตรสหายก็เศร้าใจ ดังนี้ อริยสาวกนั้น เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่กระวนกระวาย ไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงความหลงใหล ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า อริยสาวกผู้ได้สดับนี้ ถอนลูกศรแห่งความโศก อันมีพิษเสียบแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ทำตนเองให้เดือดร้อนอยู่ได้แล้ว อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ถอนลูกศรได้แล้ว ย่อมปรินิพพานด้วยตน.
ภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็ย่อมเจ็บไข้สำหรับอริยสาวกผู้ได้สดับ … สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ก็ย่อมตายสำหรับอริยสาวกผู้ได้สดับ … สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ก็ย่อมสิ้นไปสำหรับอริยสาวกผู้ได้สดับ … สิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา ก็ย่อมวินาศสำหรับอริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อสิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา วินาศแล้ว อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา จะวินาศสำหรับเราผู้เดียวเท่านั้น โดยที่แท้แล้ว สิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา ย่อมวินาศสำหรับสัตว์ทั้งปวง ที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ก็เมื่อสิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา วินาศแล้ว เราจะมามัวเศร้าโศก กระวนกระวาย ร่ำไรรำพัน ทุบอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหล แม้อาหารก็ไม่ย่อย กายก็เศร้าหมอง การงานก็หยุดชะงัก พวกอมิตรก็ดีใจ มิตรสหายก็เศร้าใจ ดังนี้ อริยสาวกนั้น เมื่อสิ่งที่มีความวินาศเป็นธรรมดา วินาศแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่กระวนกระวาย ไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงความหลงใหล ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า อริยสาวกผู้ได้สดับนี้ ถอนลูกศรแห่งความโศก อันมีพิษเสียบแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ทำตนเองให้เดือดร้อนอยู่ได้แล้ว อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ถอนลูกศรได้แล้ว ย่อมปรินิพพานเฉพาะตน.
ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้แล ฐานะ ๕ ประการ อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกไม่พึงได้ตามปรารถนา.
ประโยชน์แม้เล็กน้อยอันใครๆ ในโลกนี้
ย่อมไม่ได้จากความเศร้าโศก หรือจากความคร่ำครวญ
พวกอมิตรทราบว่าเขาเศร้าโศก ได้รับทุกข์ ย่อมดีใจ
ก็คราวใด บัณฑิตผู้พิจารณาทราบชัดเนื้อความ
ถึงความไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหมด
คราวนั้น พวกอมิตรเห็นหน้าอันไม่ผิดปกติของบัณฑิตนั้น
(และ) ยังยิ้มแย้มตามเคย ย่อมเป็นทุกข์เสียเอง
บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใดๆ ด้วยประการใดๆ คือ
ด้วยการสรรเสริญ ด้วยความรู้ ด้วยกล่าวคำสุภาษิต
ด้วยการบำเพ็ญทาน หรือด้วยประเพณี
ก็พึงบากบั่นในที่นั้นๆ ด้วยประการนั้นๆ เถิด
ถ้าทราบว่า ความต้องการอย่างนี้ อันเราหรือผู้อื่นไม่พึงได้
ก็ไม่ควรเศร้าโศก ควรอดกลั้นไว้ คิดเสียว่า
กรรมเป็นสิ่งมั่นคง บัดนี้เราจะทำอะไรได้ ดังนี้.
-บาลี ปญฺจก. อํ. 22/59/48.
https://84000.org/tipitaka/pali/?22//59
https://etipitaka.com/read/pali/22/59/
English translation by Bhikkhu Sujato
“Mendicants, there are five things that cannot be had by any ascetic or brahmin or god or Māra or Brahmā or by anyone in the world. What five? That someone liable to old age should not grow old. That someone liable to sickness should not get sick. … That someone liable to death should not die. … That someone liable to ending should not end. … That someone liable to perishing should not perish. …
An uneducated ordinary person has someone liable to old age who grows old. But they don’t reflect on old age: ‘It’s not just me who has someone liable to old age who grows old. For as long as sentient beings come and go, pass away and are reborn, they all have someone liable to old age who grows old. If I were to sorrow and wail and lament, beating my breast and falling into confusion, just because someone liable to old age grows old, I’d lose my appetite and my physical appearance would deteriorate. My work wouldn’t get done, my enemies would be encouraged, and my friends would be dispirited.’ And so, when someone liable to old age grows old, they sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. This is called an uneducated ordinary person struck by sorrow’s poisoned arrow, who only mortifies themselves.
Furthermore, an uneducated ordinary person has someone liable to sickness … death … ending … perishing. But they don’t reflect on perishing: ‘It’s not just me who has someone liable to perishing who perishes. For as long as sentient beings come and go, pass away and are reborn, they all have someone liable to perishing who perishes. If I were to sorrow and wail and lament, beating my breast and falling into confusion, just because someone liable to perishing perishes, I’d lose my appetite and my physical appearance would deteriorate. My work wouldn’t get done, my enemies would be encouraged, and my friends would be dispirited.’ And so, when someone liable to perishing perishes, they sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. This is called an uneducated ordinary person struck by sorrow’s poisoned arrow, who only mortifies themselves.
An educated noble disciple has someone liable to old age who grows old. So they reflect on old age: ‘It’s not just me who has someone liable to old age who grows old. For as long as sentient beings come and go, pass away and are reborn, they all have someone liable to old age who grows old. If I were to sorrow and wail and lament, beating my breast and falling into confusion, just because someone liable to old age grows old, I’d lose my appetite and my physical appearance would deteriorate. My work wouldn’t get done, my enemies would be encouraged, and my friends would be dispirited.’ And so, when someone liable to old age grows old, they don’t sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. This is called an educated noble disciple who has drawn out sorrow’s poisoned arrow, struck by which uneducated ordinary people only mortify themselves. Sorrowless, free of thorns, that noble disciple only extinguishes themselves.
Furthermore, an educated noble disciple has someone liable to sickness … death … ending … perishing. So they reflect on perishing: ‘It’s not just me who has someone liable to perishing who perishes. For as long as sentient beings come and go, pass away and are reborn, they all have someone liable to perishing who perishes. If I were to sorrow and wail and lament, beating my breast and falling into confusion, just because someone liable to perishing perishes, I’d lose my appetite and my physical appearance would deteriorate. My work wouldn’t get done, my enemies would be encouraged, and my friends would be dispirited.’ And so, when someone liable to perishing perishes, they don’t sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. This is called an educated noble disciple who has drawn out sorrow’s poisoned arrow, struck by which uneducated ordinary people only mortify themselves. Sorrowless, free of thorns, that noble disciple only extinguishes themselves.
These are the five things that cannot be had by any ascetic or brahmin or god or Māra or Brahmā or by anyone in the world.
Sorrowing and lamenting
doesn’t do even a little bit of good.
When they know that you’re sad,
your enemies are encouraged.
When an astute person doesn’t waver in the face of adversity,
as they’re able to assess what’s beneficial,
their enemies suffer,
seeing that their normal expression doesn’t change.
Chants, recitations, fine sayings,
charity or traditions:
if by means of any such things you benefit,
then by all means keep doing them.
But if you understand that ‘this good thing
can’t be had by me or by anyone else’,
you should accept it without sorrowing, thinking:
‘The karma is strong. What can I do now?’”
English translation by Bhikkhu Bodhi
“Bhikkhus, there are these five situations that are unobtainable by an ascetic or a brahmin, by a deva, Māra, or Brahmā, or by anyone in the world. What five?
(1) ‘May what is subject to old age not grow old!’: this is a situation that is unobtainable by an ascetic or a brahmin, by a deva, Māra, or Brahmā, or by anyone in the world.
(2) ‘May what is subject to illness not fall ill!’: this is a situation that is unobtainable by an ascetic … or by anyone in the world.
(3) ‘May what is subject to death not die!’: this is a situation that is unobtainable by an ascetic … or by anyone in the world.
(4) ‘May what is subject to destruction not be destroyed!’: this is a situation that is unobtainable by an ascetic … or by anyone in the world.
(5) ‘May what is subject to loss not be lost!’: this is a situation that is unobtainable by an ascetic or a brahmin, by a deva, Māra, or Brahmā, or by anyone in the world.
(1) “Bhikkhus, for the uninstructed worldling, what is subject to old age grows old. When this happens, he does not reflect thus: ‘I am not the only one for whom what is subject to old age grows old. For all beings that come and go, that pass away and undergo rebirth, what is subject to old age grows old. If I were to sorrow, languish, lament, weep beating my breast, and become confused when what is subject to old age grows old, I would lose my appetite and my features would become ugly. I would not be able to do my work, my enemies would be elated, and my friends would become saddened.’ Thus, when what is subject to old age grows old, he sorrows, languishes, laments, weeps beating his breast, and becomes confused. This is called an uninstructed worldling pierced by the poisonous dart of sorrow who only torments himself.
(2) “Again, for the uninstructed worldling, what is subject to illness falls ill … (3) … what is subject to death dies … (4) … what is subject to destruction is destroyed … (5) … what is subject to loss is lost. When this happens, he does not reflect thus: ‘I am not the only one for whom what is subject to loss is lost. For all beings who come and go, who pass away and undergo rebirth, what is subject to loss is lost. If I were to sorrow, languish, lament, weep beating my breast, and become confused when what is subject to loss is lost, I would lose my appetite and my features would become ugly. I would not be able to do my work, my enemies would be elated, and my friends would become saddened.’ Thus, when what is subject to loss is lost, he sorrows, languishes, laments, weeps beating his breast, and becomes confused. This is called an uninstructed worldling pierced by the poisonous dart of sorrow who only torments himself.
(1) “Bhikkhus, for the instructed noble disciple, what is subject to old age grows old. When this happens, he reflects thus: ‘I am not the only one for whom what is subject to old age grows old. For all beings that come and go, that pass away and undergo rebirth, what is subject to old age grows old. If I were to sorrow, languish, lament, weep beating my breast, and become confused when what is subject to old age grows old, I would lose my appetite and my features would become ugly. I would not be able to do my work, my enemies would be elated, and my friends would become saddened.’ Thus, when what is subject to old age grows old, he does not sorrow, languish, lament, weep beating his breast, and become confused. This is called an instructed noble disciple who has drawn out the poisonous dart of sorrow pierced by which the uninstructed worldling only torments himself. Sorrowless, without darts, the noble disciple realizes nibbāna.
(2) “Again, for the instructed noble disciple, what is subject to illness falls ill … (3) … what is subject to death dies … (4) … what is subject to destruction is destroyed … (5) … what is subject to loss is lost. When this happens, he reflects thus: ‘I am not the only one for whom what is subject to loss is lost. For all beings that come and go, that pass away and undergo rebirth, what is subject to loss is lost. If I were to sorrow, languish, lament, weep beating my breast, and become confused when what is subject to loss is lost, I would lose my appetite and my features would become ugly. I would not be able to do my work, my enemies would be elated, and my friends would become saddened.’ Thus, when what is subject to loss is lost, he does not sorrow, languish, lament, weep beating his breast, and become confused. This is called an instructed noble disciple who has drawn out the poisonous dart of sorrow pierced by which the uninstructed worldling only torments himself. Sorrowless, without darts, the noble disciple realizes nibbāna.
“These, bhikkhus, are the five situations that are unobtainable by an ascetic or a brahmin, by a deva, Māra, or Brahmā, or by anyone in the world.
“It is not by sorrowing and lamenting
that even the least good here can be gained.
Knowing that one is sorrowful and sad,
one’s enemies are elated.
“When the wise person does not shake in adversities,
knowing how to determine what is good,
his enemies are saddened, having seen
that his former facial expression does not change.
“Wherever one might gain one’s good,
in whatever way—by chanting, mantras,
maxims, gifts, or tradition—there
one should exert oneself in just that way.
“But if one should understand: ‘This good
cannot be obtained by me or anyone else,’
one should accept the situation without sorrowing,
thinking: ‘The kamma is strong; what can I do now?’”