อุโบสถ ๘ ประการ
ภิกษุทั้งหลาย อุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันบุคคลเข้าอยู่แล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแผ่ไพศาลมาก ภิกษุทั้งหลาย ก็อุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันบุคคลเข้าอยู่แล้วอย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแผ่ไพศาลมาก.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นประจักษ์ดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ละการฆ่าสัตว์มีชีวิต เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต วางท่อนไม้ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลต่อสัตว์ทั้งหลาย อยู่ตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ เราก็เป็นผู้ละการฆ่าสัตว์มีชีวิต เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต วางท่อนไม้ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลต่อสัตว์ทั้งหลาย อยู่ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์ข้อนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย และอุโบสถเป็นอันว่าเราเข้าอยู่แล้ว นี้แล องค์ประกอบของอุโบสถข้อที่ ๑.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นประจักษ์ดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ละการถือเอาสิ่งที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ถือเอาแต่สิ่งของที่เขาให้ หวังอยู่แต่สิ่งของที่เขาให้ เป็นคนไม่ขโมย เป็นคนสะอาด อยู่ตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ เราก็เป็นผู้ละการถือเอาสิ่งที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ถือเอาแต่สิ่งของที่เขาให้ หวังอยู่แต่สิ่งของที่เขาให้ เป็นคนไม่ขโมย เป็นคนสะอาด อยู่ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์ข้อนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย และอุโบสถเป็นอันว่าเราเข้าอยู่แล้ว นี้แล องค์ประกอบของอุโบสถข้อที่ ๒.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นประจักษ์ดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ละการกระทำที่ไม่ใช่พรหมจรรย์ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นผู้ประพฤติห่างไกล เว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมดาของชาวบ้าน อยู่ตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ เราก็เป็นผู้ละการกระทำที่ไม่ใช่พรหมจรรย์ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นผู้ประพฤติห่างไกล เว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมดาของชาวบ้าน อยู่ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์ข้อนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย และอุโบสถเป็นอันว่าเราเข้าอยู่แล้ว นี้แล องค์ประกอบของอุโบสถข้อที่ ๓.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นประจักษ์ดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ คำพูดมีหลักการ เชื่อถือได้ ไม่กล่าวให้ผิดจากความจริงของโลก อยู่ตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ เราก็เป็นผู้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ คำพูดมีหลักการ เชื่อถือได้ ไม่กล่าวให้ผิดจากความจริงของโลก อยู่ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์ข้อนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย และอุโบสถเป็นอันว่าเราเข้าอยู่แล้ว นี้แล องค์ประกอบของอุโบสถข้อที่ ๔.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นประจักษ์ดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ละการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อยู่ตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ เราก็เป็นผู้ละการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อยู่ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์ข้อนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย และอุโบสถเป็นอันว่าเราเข้าอยู่แล้ว นี้แล องค์ประกอบของอุโบสถข้อที่ ๕.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นประจักษ์ดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้บริโภคอาหารมื้อเดียว เว้นจากบริโภคอาหารในเวลากลางคืน งดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล อยู่ตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ เราก็เป็นผู้บริโภคอาหารมื้อเดียว เว้นจากบริโภคอาหารในเวลากลางคืน งดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล อยู่ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์ข้อนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย และอุโบสถเป็นอันว่าเราเข้าอยู่แล้ว นี้แล องค์ประกอบของอุโบสถข้อที่ ๖.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นประจักษ์ดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้เว้นขาดจากการฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคม การดูการเล่นอันเป็นข้าศึก (แก่กุศล) การทัดทรง การประดับ การตกแต่งด้วยดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว อยู่ตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ เราก็เป็นผู้เว้นขาดจากการฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคม การดูการเล่นอันเป็นข้าศึก (แก่กุศล) การทัดทรง การประดับ การตกแต่งด้วยดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว อยู่ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์ข้อนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย และอุโบสถเป็นอันว่าเราเข้าอยู่แล้ว นี้แล องค์ประกอบของอุโบสถข้อที่ ๗.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นประจักษ์ดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ละการนั่งและการนอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการนั่งและการนอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ สำเร็จการนั่งและการนอนบนที่นั่งที่นอนต่ำ คือ บนเตียง หรือเครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้า อยู่ตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ เราก็เป็นผู้ละการนั่งและการนอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการนั่งและการนอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ สำเร็จการนั่งและการนอนบนที่นั่งที่นอนต่ำ คือ บนเตียง หรือเครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้า อยู่ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์ข้อนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย และอุโบสถเป็นอันว่าเราเข้าอยู่แล้ว นี้แล องค์ประกอบของอุโบสถข้อที่ ๘.
ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้แล อุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันบุคคลเข้าอยู่แล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแผ่ไพศาลมาก.
ก็อุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันบุคคลเข้าอยู่แล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแผ่ไพศาลมาก นั้นมากเพียงไร ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพระราชาพระองค์ใด ที่ได้ครองราชย์ซึ่งดำรงอิสรภาพและอธิปไตย (ความยิ่งใหญ่) ในชนบทใหญ่ๆ ๑๖ แคว้น อันมีรัตนะ ๗ ประการมากมายเหล่านี้ คือ อังคะ มคธ กาสี โกสล วัชชี มัลละ เจตีย์ วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การครองราชซึ่งดำรงอิสรภาพและอธิปไตยของพระราชาพระองค์นั้น ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งอุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะราชสมบัติมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความสุขอันเป็นทิพย์.
ภิกษุทั้งหลาย ๕๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นจาตุมหาราช ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้นเป็นเดือนหนึ่ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง ๕๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น (ประมาณ ๙,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นจาตุมหาราช ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลบางคนในกรณีนี้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย จะเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ภิกษุทั้งหลาย เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความสุขอันเป็นทิพย์.
ภิกษุทั้งหลาย ๑๐๐ ปี มนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้นเป็นเดือนหนึ่ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง ๑,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น (ประมาณ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลบางคนในกรณีนี้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย จะเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ภิกษุทั้งหลาย เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความสุขอันเป็นทิพย์.
ภิกษุทั้งหลาย ๒๐๐ ปีมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นยามา ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้นเป็นเดือนหนึ่ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง ๒,๐๐๐ปีทิพย์โดยปีนั้น (ประมาณ ๑๔๔,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) เป็นประมาณของอายุเทวดาชั้นยามา ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลบางคนในกรณีนี้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย จะเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ภิกษุทั้งหลาย เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความสุขอันเป็นทิพย์.
ภิกษุทั้งหลาย ๔๐๐ ปีมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นดุสิต ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้นเป็นเดือนหนึ่ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง ๔,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น (ประมาณ ๕๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นดุสิต ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลบางคนในกรณีนี้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย จะเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ภิกษุทั้งหลาย เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความสุขอันเป็นทิพย์.
ภิกษุทั้งหลาย ๘๐๐ ปีมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นนิมมานรดี ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้นเป็นเดือนหนึ่ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง ๘,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น (ประมาณ ๒,๓๐๔,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นนิมมานรดี ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลบางคนในกรณีนี้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย จะเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ภิกษุทั้งหลาย เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความสุขอันเป็นทิพย์.
ภิกษุทั้งหลาย ๑,๖๐๐ ปีมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้นเป็นเดือนหนึ่ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น (ประมาณ ๙,๒๑๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลบางคนในกรณีนี้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย จะเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ภิกษุทั้งหลาย เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความสุขอันเป็นทิพย์.
บุคคลไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้
พึงเว้นจากเมถุนธรรม อันมิใช่ความประพฤติของพรหม
ไม่พึงพูดเท็จ ไม่พึงดื่มน้ำเมา
ไม่พึงบริโภคอาหารในเวลาวิกาลและในราตรี
ไม่พึงทัดทรงดอกไม้และของหอม
พึงนอนบนเตียง บนแผ่นดิน หรือบนเครื่องลาดด้วยหญ้า
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวอุโบสถ ๘ ประการนี้แล
ที่พระพุทธเจ้าผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ทรงประกาศไว้แล้ว
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ทั้งสอง ยังโคจรส่องแสงสว่างไปตามวีถี อยู่เพียงใด
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์นั้น ย่อมส่องแสงสว่างไปทั่วทุกทิศในท้องฟ้า
กำจัดความมืดในอากาศ อยู่เพียงนั้น
ทรัพย์ใดอันมีอยู่ในระหว่างนี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี
แก้วไพฑูรย์อย่างดี ทองสิงคีอันมีสีสุกใส หรือทองที่เรียกกันว่า หฏกะ
ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และทรัพย์นั้นๆ ก็ยังไม่ถึงแม้เสี้ยวที่ ๑๖
แห่งอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
เปรียบเหมือนรัศมีพระจันทร์ ข่มหมู่ดวงดาวทั้งหมดได้ ฉันนั้น
เพราะเหตุนั้นแหละ หญิงหรือชายผู้มีศีล
เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว
กระทำบุญทั้งหลายอันมีสุขเป็นกำไร
เป็นผู้ที่ไม่มีใครติเตียน ย่อมเข้าถึงสวรรค์.
-บาลี อฏก. อํ. 23/256/132.
https://84000.org/tipitaka/pali/?23//256
https://etipitaka.com/read/pali/23/256/
English translation by Bhikkhu Sujato
“Mendicants, the observance of the sabbath with its eight factors is very fruitful and beneficial and splendid and bountiful. And how should it be observed?
It’s when a noble disciple reflects: ‘As long as they live, the perfected ones give up killing living creatures, renouncing the rod and the sword. They are scrupulous and kind, and live full of compassion for all living beings. I, too, for this day and night will give up killing living creatures, renouncing the rod and the sword. I’ll be scrupulous and kind, and live full of compassion for all living beings. I will observe the sabbath by doing as the perfected ones do in this respect.’ This is its first factor. …
‘As long as they live, the perfected ones give up stealing. They take only what’s given, and expect only what’s given. They keep themselves clean by not thieving. I, too, for this day and night will give up stealing. I’ll take only what’s given, and expect only what’s given. I’ll keep myself clean by not thieving. I will observe the sabbath by doing as the perfected ones do in this respect.’ This is its second factor.
‘As long as they live, the perfected ones give up unchastity. They are celibate, set apart, avoiding the common practice of sex. I, too, for this day and night will give up unchastity. I will be celibate, set apart, avoiding the common practice of sex. I will observe the sabbath by doing as the perfected ones do in this respect.’ This is its third factor.
‘As long as they live, the perfected ones give up lying. They speak the truth and stick to the truth. They’re honest and trustworthy, and don’t trick the world with their words. I, too, for this day and night will give up lying. I’ll speak the truth and stick to the truth. I’ll be honest and trustworthy, and won’t trick the world with my words. I will observe the sabbath by doing as the perfected ones do in this respect.’ This is its fourth factor.
‘As long as they live, the perfected ones give up alcoholic drinks that cause negligence. I, too, for this day and night will give up alcoholic drinks that cause negligence. I will observe the sabbath by doing as the perfected ones do in this respect.’ This is its fifth factor.
‘As long as they live, the perfected ones eat in one part of the day, abstaining from eating at night and from food at the wrong time. I, too, for this day and night will eat in one part of the day, abstaining from eating at night and food at the wrong time. I will observe the sabbath by doing as the perfected ones do in this respect.’ This is its sixth factor.
‘As long as they live, the perfected ones give up dancing, singing, music, and seeing shows; and beautifying and adorning themselves with garlands, fragrance, and makeup. I, too, for this day and night will give up dancing, singing, music, and seeing shows; and beautifying and adorning myself with garlands, fragrance, and makeup. I will observe the sabbath by doing as the perfected ones do in this respect.’ This is its seventh factor.
‘As long as they live, the perfected ones give up high and luxurious beds. They sleep in a low place, either a small bed or a straw mat. I, too, for this day and night will give up high and luxurious beds. I’ll sleep in a low place, either a small bed or a straw mat. I will observe the sabbath by doing as the perfected ones do in this respect.’ This is its eighth factor.
The observance of the sabbath with its eight factors in this way is very fruitful and beneficial and splendid and bountiful.
How much so? Suppose you were to rule as sovereign lord over these sixteen great countries—Aṅga, Magadha, Kāsī, Kosala, Vajjī, Malla, Ceti, Vaṅga, Kuru, Pañcāla, Maccha, Sūrusena, Assaka, Avanti, Gandhāra, and Kamboja—full of the seven kinds of precious things. This wouldn’t be worth a sixteenth part of the sabbath with its eight factors. Why is that? Because human kingship is a poor thing compared to the happiness of the gods.
Fifty years in the human realm is one day and night for the Gods of the Four Great Kings. Thirty such days make up a month. Twelve such months make up a year. The life span of the Gods of the Four Great Kings is five hundred of these divine years. It’s possible that a woman or man who has observed the eight-factored sabbath will—when their body breaks up, after death—be reborn in the company of the Gods of the Four Great Kings. This is what I was referring to when I said: ‘Human kingship is a poor thing compared to the happiness of the gods.’
A hundred years in the human realm is one day and night for the Gods of the Thirty-Three. Thirty such days make up a month. Twelve such months make up a year. The life span of the Gods of the Thirty-Three is a thousand of these divine years. It’s possible that a woman or man who has observed the eight-factored sabbath will—when their body breaks up, after death—be reborn in the company of the Gods of the Thirty-Three. This is what I was referring to when I said: ‘Human kingship is a poor thing compared to the happiness of the gods.’
Two hundred years in the human realm is one day and night for the Gods of Yama. Thirty such days make up a month. Twelve such months make up a year. The life span of the Gods of Yama is two thousand of these divine years. It’s possible that a woman or man who has observed the eight-factored sabbath will—when their body breaks up, after death—be reborn in the company of the Gods of Yama. This is what I was referring to when I said: ‘Human kingship is a poor thing compared to the happiness of the gods.’
Four hundred years in the human realm is one day and night for the Joyful Gods. Thirty such days make up a month. Twelve such months make up a year. The life span of the Joyful Gods is four thousand of these divine years. It’s possible that a woman or man who has observed the eight-factored sabbath will—when their body breaks up, after death—be reborn in the company of the Joyful Gods. This is what I was referring to when I said: ‘Human kingship is a poor thing compared to the happiness of the gods.’
Eight hundred years in the human realm is one day and night for the Gods Who Love to Create. Thirty such days make up a month. Twelve such months make up a year. The life span of the Gods Who Love to Create is eight thousand of these divine years. It’s possible that a woman or man who has observed the eight-factored sabbath will—when their body breaks up, after death—be reborn in the company of the Gods Who Love to Create. This is what I was referring to when I said: ‘Human kingship is a poor thing compared to the happiness of the gods.’
Sixteen hundred years in the human realm is one day and night for the Gods Who Control the Creations of Others. Thirty such days make up a month. Twelve such months make up a year. The life span of the Gods Who Control the Creations of Others is sixteen thousand of these divine years. It’s possible that a woman or man who has observed the eight-factored sabbath will—when their body breaks up, after death—be reborn in the company of the Gods Who Control the Creations of Others. This is what I was referring to when I said: ‘Human kingship is a poor thing compared to the happiness of the gods.’
You shouldn’t kill living creatures, or steal,
or lie, or drink alcohol.
Be celibate, refraining from sex,
and don’t eat at night, the wrong time.
Not wearing garlands or applying perfumes,
you should sleep on a low bed, or a mat on the ground.
This is the eight-factored sabbath, they say,
explained by the Buddha, who has gone to suffering’s end.
The moon and sun are both fair to see,
radiating as far as they revolve.
Those shining ones in the sky light up the quarters,
dispelling the darkness as they traverse the heavens.
All of the wealth that’s found in this realm—
pearls, gems, fine beryl too,
horn-gold or mountain gold,
or natural gold dug up by marmots—
they’re not worth a sixteenth part
of the sabbath with its eight factors,
as starlight cannot rival the moon.
So an ethical woman or man,
who has observed the eight-factored sabbath,
having made merit whose outcome is happiness,
blameless, they go to a heavenly place.”
English translation by Bhikkhu Bodhi
“Bhikkhus, observed complete in eight factors, the uposatha is of great fruit and benefit, extraordinarily brilliant and pervasive. And how is the uposatha observed complete in eight factors, so that it is of great fruit and benefit, extraordinarily brilliant and pervasive?
(1) “Here, bhikkhus, a noble disciple reflects thus: ‘As long as they live the arahants abandon and abstain from the destruction of life; with the rod and weapon laid aside, conscientious and kindly, they dwell compassionate toward all living beings. Today, for this night and day, I too shall abandon and abstain from the destruction of life; with the rod and weapon laid aside, conscientious and kindly, I too shall dwell compassionate toward all living beings. I shall imitate the arahants in this respect and the uposatha will be observed by me.’ This is the first factor it possesses.
(2) “‘As long as they live the arahants abandon and abstain from taking what is not given; they take only what is given, expect only what is given, and dwell honestly without thoughts of theft. Today, for this night and day, I too shall abandon and abstain from taking what is not given; I shall accept only what is given, expect only what is given, and dwell honestly without thoughts of theft. I shall imitate the arahants in this respect and the uposatha will be observed by me.’ This is the second factor it possesses.
(3) “‘As long as they live the arahants abandon sexual activity and observe celibacy, living apart, abstaining from sexual intercourse, the common person’s practice. Today, for this night and day, I too shall abandon sexual activity and observe celibacy, living apart, abstaining from sexual intercourse, the common person’s practice. I shall imitate the arahants in this respect and the uposatha will be observed by me.’ This is the third factor it possesses.
(4) “‘As long as they live the arahants abandon and abstain from false speech; they speak truth, adhere to truth; they are trustworthy and reliable, no deceivers of the world. Today, for this night and day, I too shall abandon and abstain from false speech; I shall speak truth, adhere to truth; I shall be trustworthy and reliable, no deceiver of the world. I shall imitate the arahants in this respect and the uposatha will be observed by me.’ This is the fourth factor it possesses.
(5) “‘As long as they live the arahants abandon and abstain from liquor, wine, and intoxicants, the basis for heedlessness. Today, for this night and day, I too shall abandon and abstain from liquor, wine, and intoxicants, the basis for heedlessness. I shall imitate the arahants in this respect and the uposatha will be observed by me.’ This is the fifth factor it possesses.
(6) “‘As long as they live the arahants eat once a day, abstaining from eating at night and from food outside the proper time. Today, for this night and day, I too shall eat once a day, abstaining from eating at night and from food outside the proper time. I shall imitate the arahants in this respect and the uposatha will be observed by me.’ This is the sixth factor it possesses.
(7) “‘As long as they live the arahants abstain from dancing, singing, instrumental music, and unsuitable shows, and from adorning and beautifying themselves by wearing garlands and applying scents and unguents. Today, for this night and day, I too shall abstain from dancing, singing, instrumental music, and unsuitable shows, and from adorning and beautifying myself by wearing garlands and applying scents and unguents. I shall imitate the arahants in this respect and the uposatha will be observed by me.’ This is the seventh factor it possesses.
(8) “‘As long as they live the arahants abandon and abstain from the use of high and luxurious beds; they lie down on a low resting place, either a small bed or a straw mat. Today, for this night and day, I too shall abandon and abstain from the use of high and luxurious beds; I shall lie down on a low resting place, either a small bed or a straw mat. I shall imitate the arahants in this respect and the uposatha will be observed by me.’ This is the eighth factor it possesses.
“It is in this way, bhikkhus, that the uposatha is observed complete in eight factors, so that it is of great fruit and benefit, extraordinarily brilliant and pervasive.
“To what extent is it of great fruit and benefit? To what extent is it extraordinarily brilliant and pervasive? Suppose one were to exercise sovereignty and kingship over these sixteen great countries abounding in the seven precious substances, that is, the countries of the Aṅgans, the Magadhans, the Kāsis, the Kosalans, the Vajjis, the Mallas, the Cetis, the Vaṅgas, the Kurus, the Pañcālas, the Macchas, the Sūrasenas, the Assakas, the Avantis, the Gandhārans, and the Kambojans: this would not be worth a sixteenth part of the uposatha observance complete in those eight factors. For what reason? Because human kingship is poor compared to celestial happiness.
“For the devas ruled by the four great kings, a single night and day is equivalent to fifty human years; thirty such days make up a month, and twelve such months make up a year. The life span of those devas is five hundred such celestial years. It is possible, bhikkhus, for a woman or man who observes the uposatha complete in these eight factors, with the breakup of the body, after death, to be reborn in companionship with the devas ruled by the four great kings. It was with reference to this that I said human kingship is poor compared to celestial happiness.
“For the Tāvatiṁsa devas, a single night and day is equivalent to a hundred human years; thirty such days make up a month, and twelve such months make up a year. The life span of those devas is a thousand such celestial years. It is possible, bhikkhus, for a woman or man who observes the uposatha complete in these eight factors, with the breakup of the body, after death, to be reborn in companionship with the Tāvatiṁsa devas. It was with reference to this that I said human kingship is poor compared to celestial happiness.
“For the Yāma devas, a single night and day is equivalent to two hundred human years; thirty such days make up a month, and twelve such months make up a year. The life span of those devas is two thousand such celestial years. It is possible, bhikkhus, for a woman or man who observes the uposatha complete in these eight factors, with the breakup of the body, after death, to be reborn in companionship with the Yāma devas. It was with reference to this that I said human kingship is poor compared to celestial happiness.
“For the Tusita devas, a single night and day is equivalent to four hundred human years; thirty such days make up a month, and twelve such months make up a year. The life span of those devas is four thousand such celestial years. It is possible, bhikkhus, for a woman or man who observes the uposatha complete in these eight factors, with the breakup of the body, after death, to be reborn in companionship with the Tusita devas. It was with reference to this that I said human kingship is poor compared to celestial happiness.
“For the devas who delight in creation, a single night and day is equivalent to eight hundred human years; thirty such days make up a month, and twelve such months make up a year. The life span of those devas is eight thousand such celestial years. It is possible, bhikkhus, for a woman or man who observes the uposatha complete in these eight factors, with the breakup of the body, after death, to be reborn in companionship with the devas who delight in creation. It was with reference to this that I said human kingship is poor compared to celestial happiness.
“For the devas who control what is created by others, a single night and day is equivalent to sixteen hundred human years; thirty such days make up a month, and twelve such months make up a year. The life span of those devas is sixteen thousand such celestial years. It is possible, bhikkhus, for a woman or man who observes the uposatha complete in these eight factors, with the breakup of the body, after death, to be reborn in companionship with the devas who control what is created by others. It was with reference to this that I said human kingship is poor compared to celestial happiness.”
One should not kill living beings or take what is not given;
one should not speak falsehood or drink intoxicants;
one should refrain from sexual activity, from unchastity;
one should not eat at night or at an improper time.
One should not wear garlands or apply scents;
one should sleep on a low bed or a mat on the ground;
this, they say, is the eight-factored uposatha
proclaimed by the Buddha,
who reached the end of suffering.
As far as the sun and moon revolve,
shedding light, so beautiful to gaze upon,
dispellers of darkness, moving through the firmament,
they shine in the sky, brightening up the quarters.
Whatever wealth exists in this sphere—
pearls, gems, and excellent beryl,
horn gold and mountain gold,
and the natural gold called haṭaka—
those are not worth a sixteenth part
of an uposatha complete in the eight factors,
just as all the hosts of stars
do not match the moon’s radiance.
Therefore a virtuous woman or man,
having observed the uposatha complete in eight factors
and having made merit productive of happiness,
blameless goes to a heavenly state.