จะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร ต้องอาศัยเวลา [ดูคนต้องใช้เวลา (๑)]
ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๔ ประการเหล่านี้ พึงรู้ได้ด้วยฐานะ ๔ ฐานะ ๔ อะไรบ้าง คือ
ภิกษุทั้งหลาย ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน และศีลนั้นพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ คนมีปัญญาจึงจะรู้ได้ คนทรามปัญญาก็ไม่รู้.
ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ และความสะอาดนั้นพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่กาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ คนมีปัญญาจึงจะรู้ได้ คนทรามปัญญาก็ไม่รู้.
กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย และกำลังใจนั้นพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่กาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ คนมีปัญญาจึงจะรู้ได้ คนทรามปัญญาก็ไม่รู้.
ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา และปัญญานั้นพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่กาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ คนมีปัญญาจึงจะรู้ได้ คนทรามปัญญาก็ไม่รู้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน และศีลนั้นพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ คนมีปัญญาจึงจะรู้ได้ คนทรามปัญญาก็ไม่รู้ ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้มักทำศีลให้ขาด มักทำศีลให้ทะลุ มักทำศีลให้ด่าง มักทำศีลให้พร้อยตลอดกาลนาน เป็นผู้ไม่กระทำให้ต่อเนื่อง ไม่ประพฤติให้ต่อเนื่องในศีลทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นผู้ทุศีล ไม่ใช่เป็นผู้มีศีล ภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้มีปกติไม่ทำศีลให้ขาด ไม่ทำศีลให้ทะลุ ไม่ทำศีลให้ด่าง ไม่ทำศีลให้พร้อยตลอดกาลนาน เป็นผู้มีปกติทำให้ต่อเนื่อง ประพฤติให้ต่อเนื่องในศีลทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นผู้มีศีล ไม่ใช่เป็นผู้ทุศีล ภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน … คนทรามปัญญาก็ไม่รู้ ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ และความสะอาดนั้นพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่กาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ คนมีปัญญาจึงจะรู้ได้ คนทรามปัญญาก็ไม่รู้ ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ สนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้พูดกันตัวต่อตัวเป็นอย่างหนึ่ง พูดกันสองต่อสองเป็นอย่างหนึ่ง พูดกันสามคนเป็นอย่างหนึ่ง พูดกันหลายคนเป็นอย่างหนึ่ง ท่านผู้นี้คำที่พูดทีหลังแตกต่างไปจากคำที่พูดไว้ก่อนหน้า ท่านผู้นี้มีถ้อยคำที่ไม่บริสุทธิ์ ท่านผู้นี้ไม่มีถ้อยคำที่บริสุทธิ์ ภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ เมื่อสนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้พูดกันตัวต่อตัวเป็นอย่างไร พูดกันสองคน สามคน หลายคน ก็เป็นอย่างนั้น ท่านผู้นี้คำพูดทีหลังไม่แตกต่างไปจากคำที่พูดไว้ก่อนหน้า ท่านผู้นี้มีถ้อยคำที่บริสุทธิ์ ท่านผู้นี้ไม่มีถ้อยคำที่ไม่บริสุทธิ์ ภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ … คนทรามปัญญาก็ไม่รู้ ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย และกำลังใจนั้นพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่กาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ คนมีปัญญาจึงจะรู้ได้ คนทรามปัญญาก็ไม่รู้ ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ กระทบกับความเสื่อมแห่งญาติ กระทบกับความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ หรือกระทบกับความเสื่อมเพราะโรค ย่อมไม่พิจารณาอย่างนี้ว่า โลกสันนิวาส (สัตว์โลก) นี้เป็นอย่างนั้นเอง การได้อัตภาพนี้เป็นอย่างนั้นเอง ในโลกสันนิวาสเป็นอย่างนั้นเอง ในการได้อัตภาพเป็นอย่างนั้นเอง โลกธรรม ๘ ประการเหล่านี้ ย่อมหมุนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการ คือ ลาภ ความเสื่อมลาภ ยศ ความเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ดังนี้ บุคคลนั้นเมื่อกระทบกับความเสื่อมแห่งญาติ กระทบกับความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ หรือกระทบกับความเสื่อมเพราะโรค ย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ทุบอกคร่ำครวญ ถึงความหลงใหล ภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ กระทบกับความเสื่อมแห่งญาติ กระทบกับความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ หรือกระทบกับความเสื่อมเพราะโรค ย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า โลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง การได้อัตภาพนี้เป็นอย่างนั้นเอง ในโลกสันนิวาสเป็นอย่างนั้นเอง ในการได้อัตภาพเป็นอย่างนั้นเอง โลกธรรม ๘ ประการเหล่านี้ ย่อมหมุนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการ คือ ลาภ ความเสื่อมลาภ ยศ ความเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ดังนี้ บุคคลนั้นกระทบกับความเสื่อมแห่งญาติ กระทบกับความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ หรือกระทบกับความเสื่อมเพราะโรค ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไรรำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล ภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย … คนทรามปัญญาก็ไม่รู้ ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา และปัญญานั้นพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่กาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ คนมีปัญญาจึงจะรู้ได้ คนทรามปัญญาก็ไม่รู้ ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ สนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร อภินิหารของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร และการถามปัญหาของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร ท่านผู้นี้ทรามปัญญา ท่านผู้นี้ไม่มีปัญญา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะท่านผู้นี้ไม่อ้างบทที่มีความหมายอันลึกซึ้ง ที่สงบระงับ ประณีต ไม่หยั่งลงง่ายแห่งความตรึก ละเอียดอ่อน อันบัณฑิตจะพึงรู้ได้ และท่านผู้นี้กล่าวธรรมอันใด ก็ไม่สามารถจะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นได้ ไม่ว่าโดยย่อ หรือโดยพิสดาร ท่านผู้นี้ทรามปัญญา ท่านผู้นี้ไม่มีปัญญา ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ที่ฝั่งห้วงน้ำ เมื่อเห็นปลาเล็กๆ ผุดอยู่ เขาก็ทราบได้ว่า กิริยาผุดของปลาตัวนี้เป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นเพียงไหน และมีความเร็วเพียงไร ปลาตัวนี้เล็ก ไม่ใช่ปลาตัวใหญ่ ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น บุคคลเมื่อสนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร อภินิหารของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร และการถามปัญหาของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร ท่านผู้นี้ทรามปัญญา ท่านผู้นี้ไม่มีปัญญา ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลบางคนในกรณีนี้ สนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร อภินิหารของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร การถามปัญหาของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร ท่านผู้นี้เป็นผู้มีปัญญา ท่านผู้นี้ไม่เป็นผู้ทรามปัญญา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะท่านผู้นี้ย่อมอ้างบทที่มีความหมายอันลึกซึ้ง ที่สงบระงับ ประณีต ไม่หยั่งลงง่ายแห่งความตรึก ละเอียดอ่อน อันบัณฑิตจะพึงรู้ได้ และท่านผู้นี้กล่าวธรรมใด ก็เป็นผู้สามารถจะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นได้ ไม่ว่าโดยย่อ หรือโดยพิสดาร ท่านผู้นี้เป็นผู้มีปัญญา ท่านผู้นี้ไม่เป็นผู้ทรามปัญญา ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ที่ฝั่งห้วงน้ำ เมื่อเห็นปลาตัวใหญ่กำลังผุดอยู่ เขาก็ทราบได้ว่า กิริยาผุดของปลาตัวนี้เป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นได้เพียงไหน และมีความเร็วเพียงไร ปลาตัวนี้ใหญ่ ไม่ใช่ปลาตัวเล็ก ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น บุคคลสนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร อภินิหารของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร การถามปัญหาของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร ท่านผู้นี้มีปัญญา ไม่ใช่เป็นผู้ทรามปัญญา ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา … คนทรามปัญญาก็ไม่รู้ ดังนั้น เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๔ ประการเหล่านี้แล พึงรู้ได้ด้วยฐานะ ๔ นี้.
-บาลี จตุกฺก. อํ. 21/254/192.
https://etipitaka.com/read/pali/21/254/
https://etipitaka.com/read/pali/21/254
English translation by Bhikkhu Sujato
“Mendicants, these four things can be known in four situations. What four?
You can get to know a person’s ethics by living with them. But only after a long time, not casually; only when paying attention, not when inattentive; and only by the wise, not the witless.
You can get to know a person’s purity by dealing with them. …
You can get to know a person’s resilience in times of trouble. …
You can get to know a person’s wisdom by discussion. But only after a long time, not casually; only when paying attention, not when inattentive; and only by the wise, not the witless.
‘You can get to know a person’s ethics by living with them. But only after a long time, not casually; only when paying attention, not when inattentive; and only by the wise, not the witless.’ That’s what I said, but why did I say it? Take a person who’s living with someone else. They come to know: ‘For a long time this venerable’s deeds have been broken, tainted, spotty, and marred. Their deeds and behavior are inconsistent. This venerable is unethical, not ethical.’
Take another person who’s living with someone else. They come to know: ‘For a long time this venerable’s deeds have been unbroken, impeccable, spotless, and unmarred. Their deeds and behavior are consistent. This venerable is ethical, not unethical.’ That’s why I said that you can get to know a person’s ethics by living with them. But only after a long time, not a short time; only when paying attention, not when inattentive; and only by the wise, not the witless.
‘You can get to know a person’s purity by dealing with them. …’ That’s what I said, but why did I say it? Take a person who has dealings with someone else. They come to know: ‘This venerable deals with one person in one way. Then they deal with two, three, or many people each in different ways. They’re not consistent from one deal to the next. This venerable’s dealings are impure, not pure.’
Take another person who has dealings with someone else. They come to know: ‘This venerable deals with one person in one way. Then they deal with two, three, or many people each in the same way. They’re consistent from one deal to the next. This venerable’s dealings are pure, not impure.’ That’s why I said that you can get to know a person’s purity by dealing with them. …
‘You can get to know a person’s resilience in times of trouble. …’ That’s what I said, but why did I say it? Take a person who experiences loss of family, wealth, or health. But they don’t reflect: ‘The world’s like that. Reincarnation’s like that. That’s why the eight worldly conditions revolve around the world, and the world revolves around the eight worldly conditions: gain and loss, fame and disgrace, praise and blame, pleasure and pain.’ They sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion.
Take another person who experiences loss of family, wealth, or health. But they reflect: ‘The world’s like that. Reincarnation’s like that. That’s why the eight worldly conditions revolve around the world, and the world revolves around the eight worldly conditions: gain and loss, fame and disgrace, praise and blame, pleasure and pain.’ They don’t sorrow or wail or lament, beating their breast and falling into confusion. That’s why I said that you can get to know a person’s resilience in times of trouble. …
‘You can get to know a person’s wisdom by discussion. But only after a long time, not casually; only when paying attention, not when inattentive; and only by the wise, not the witless.’ That’s what I said, but why did I say it? Take a person who is discussing with someone else. They come to know: ‘Judging by this venerable’s approach, by what they’re getting at, and by how they discuss a question, they’re witless, not wise. Why is that? This venerable does not utter a deep and meaningful saying that is peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute. When this venerable speaks on Dhamma they’re not able to explain the meaning, either briefly or in detail. They can’t teach it, assert it, establish it, clarify it, analyze it, or reveal it. This venerable is witless, not wise.’
Suppose a person with good eyesight was standing on the bank of a lake. They’d see a little fish rising, and think: ‘Judging by this fish’s approach, by the ripples it makes, and by its force, it’s a little fish, not a big one.’ In the same way, a person who is discussing with someone else would come to know: ‘Judging by this venerable’s approach, by what they’re getting at, and by how they discuss a question, they’re witless, not wise. …’
Take another person who is discussing with someone else. They come to know: ‘Judging by this venerable’s approach, by what they’re getting at, and by how they discuss a question, they’re wise, not witless. Why is that? This venerable utters a deep and meaningful saying that is peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute. When this venerable speaks on Dhamma they’re able to explain the meaning, either briefly or in detail. They teach it, assert it, establish it, clarify it, analyze it, and reveal it. This venerable is wise, not witless.’
Suppose a man with good eyesight was standing on the bank of a lake. He’d see a big fish rising, and think: ‘Judging by this fish’s approach, by the ripples it makes, and by its force, it’s a big fish, not a little one.’ In the same way, a person who is discussing with someone else would come to know: ‘Judging by this venerable’s approach, by what they’re getting at, and by how they articulate a question, they’re wise, not witless. …’
That’s why I said that you can get to know a person’s wisdom by discussion. But only after a long time, not casually; only when paying attention, not when inattentive; and only by the wise, not the witless.
These are the four things that can be known in four situations.”
English translation by Ṭhānissaro Bhikkhu
“Monks, these four traits may be known by means of four (other) traits. Which four?
“It’s through living together that a person’s virtue may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning.
“It’s through dealing with a person that his purity may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning.
“It’s through adversity that a person’s endurance may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning.
“It’s through discussion that a person’s discernment may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning.
[1] “‘It’s through living together that a person’s virtue may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning’: Thus it was said. And in reference to what was it said?
“There is the case where one individual, through living with another, knows this: ‘For a long time this person has been torn, broken, spotted, splattered in his actions. He hasn’t been consistent in his actions. He hasn’t practiced consistently with regard to the precepts. He is an unprincipled person, not a virtuous, principled one.’ And then there is the case where one individual, through living with another, knows this: ‘For a long time this person has been untorn, unbroken, unspotted, unsplattered in his actions. He has been consistent in his actions. He has practiced consistently with regard to the precepts. He is a virtuous, principled person, not an unprincipled one.’
“‘It’s through living together that a person’s virtue may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning’: Thus it was said. And in reference to this was it said.
[2] “‘It’s through dealing with a person that his purity may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning’: Thus it was said. And in reference to what was it said?
“There is the case where one individual, through dealing with another, knows this: ‘This person deals one way when one-on-one, another way when with two, another way when with three, another way when with many. His earlier dealings do not jibe with his later dealings. He is impure in his dealings, not pure.’ And then there is the case where one individual, through dealing with another, knows this: ‘The way this person deals when one-on-one, is the same way he deals when with two, when with three, when with many. His earlier dealings jibe with his later dealings. He is pure in his dealings, not impure.’
“‘It’s through dealing with a person that his purity may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning’: Thus it was said. And in reference to this was it said.
[3] “‘It’s through adversity that a person’s endurance may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning’: Thus it was said. And in reference to what was it said?
“There is the case where a person, suffering loss of relatives, loss of wealth, or loss through disease, doesn’t reflect: ‘That’s how it is when living together in the world. That’s how it is when gaining a personal identity [atta-bhāva, literally “self-state”]. When there is living in the world, when there is the gaining of a personal identity, these eight worldly conditions spin after the world, and the world spins after these eight worldly conditions: gain, loss, status, disgrace, censure, praise, pleasure, & pain.’ Suffering loss of relatives, loss of wealth, or loss through disease, he sorrows, grieves, & laments, beats his breast, becomes distraught. And then there is the case where a person, suffering loss of relatives, loss of wealth, or loss through disease, reflects: ‘That’s how it is when living together in the world. That’s how it is when gaining a personal identity. When there is living in the world, when there is the gaining of a personal identity, these eight worldly conditions spin after the world, and the world spins after these eight worldly conditions: gain, loss, status, disgrace, censure, praise, pleasure, & pain.’ Suffering loss of relatives, loss of wealth, or loss through disease, he doesn’t sorrow, grieve, or lament, doesn’t beat his breast or become distraught.
“‘It’s through adversity that a person’s endurance may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning’: Thus it was said. And in reference to this was it said.
[4] “‘It’s through discussion that a person’s discernment may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning’: Thus it was said. And in reference to what was it said?
“There is the case where one individual, through discussion with another, knows this: ‘From the way this person rises to an issue, from the way he applies (his reasoning), from the way he addresses a question, he is dull, not discerning. Why is that? He doesn’t make statements that are deep, tranquil, refined, beyond the scope of conjecture, subtle, to-be-experienced by the wise. He cannot declare the meaning, teach it, describe it, set it forth, reveal it, explain it, or make it plain. He is dull, not discerning.’ Just as if a man with good eyesight standing on the shore of a body of water were to see a small fish rise. The thought would occur to him, ‘From the rise of this fish, from the break of its ripples, from its speed, it is a small fish, not a large one.’ In the same way, one individual, in discussion with another, knows this: ‘From the way this person rises to an issue, from the way he applies (his reasoning), from the way he addresses a question… he is dull, not discerning.’
“And then there is the case where one individual, through discussion with another, knows this: ‘From the way this person rises to an issue, from the way he applies (his reasoning), from the way he addresses a question, he is discerning, not dull. Why is that? He makes statements that are deep, tranquil, refined, beyond the scope of conjecture, subtle, to-be-experienced by the wise. He can declare the meaning, teach it, describe it, set it forth, reveal it, explain it, & make it plain. He is discerning, not dull.’ Just as if a man with good eyesight standing on the shore of a body of water were to see a large fish rise. The thought would occur to him, ‘From the rise of this fish, from the break of its ripples, from its speed, it is a large fish, not a small one.’ In the same way, one individual, in discussion with another, knows this: ‘From the way this person rises to an issue, from the way he applies (his reasoning), from the way he addresses a question… he is discerning, not dull.’
“‘It’s through discussion that a person’s discernment may be known, and then only after a long period, not a short period; by one who is attentive, not by one who is inattentive; by one who is discerning, not by one who is not discerning’: Thus it was said. And in reference to this was it said.
“These, monks, are the four traits that may be known by means of these four (other) traits.”