ธรรมของชาววัชชี เพื่อความเจริญไม่เสื่อม
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ก็โดยสมัยนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหิบุตร ทรงพระประสงค์จะยาตราทัพไปย่ำยีชาววัชชี ท้าวเธอจึงตรัสอย่างนี้ว่า เราจักโค่นล้มเจ้าวัชชีผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ให้ขาดสูญ ให้พินาศ ให้ถึงความย่อยยับดับสูญ ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหิบุตร จึงตรัสเรียกวัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธมาปรึกษาว่า
ท่านพราหมณ์ เชิญท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ จงถวายอภิวาทพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าตามคำสั่งของเรา จงทูลถามถึงความเป็นผู้มีพระอาพาธน้อย ความมีพระโรคเบาบาง ความกระปรี้กระเปร่า ความมีกำลัง ความอยู่สำราญว่า ภันเต พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหิบุตร ทรงถวายอภิวาทพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า ทรงทูลถามถึงความเป็นผู้มีพระอาพาธน้อย ความมีพระโรคเบาบาง ความกระปรี้กระเปร่า ความมีกำลัง ความอยู่สำราญ และจงทูลอย่างนี้ว่า ภันเต พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหิบุตร ทรงพระประสงค์จะยาตราทัพไปย่ำยีชาววัชชี ท้าวเธอตรัสอย่างนี้ว่า เราจักโค่นล้มเจ้าวัชชีผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ให้ขาดสูญ ให้พินาศ ให้ถึงความย่อยยับดับสูญ ดังนี้ ท่านจงจำพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคทรงตอบนั้นไว้ให้ดี แล้วมาบอกแก่เรา พระตถาคตทั้งหลายจะไม่ตรัสพระดำรัสที่คลาดเคลื่อนจากความจริงเลย.
วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ รับพระราชโองการพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหิบุตรแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่สมควร ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหิบุตร ทรงถวายบังคมพระบาทของพระโคดมผู้เจริญด้วยเศียรเกล้า ทรงกราบทูลถามถึงความเป็นผู้มีพระอาพาธน้อย ความมีพระโรคเบาบาง ความกระปรี้กระเปร่า ความมีกำลัง ความอยู่สำราญ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระเจ้าแผ่นดินมคธทรงพระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหิบุตร ทรงมีพระประสงค์จะยาตราทัพไปย่ำยีชาววัชชี ท้าวเธอตรัสอย่างนี้ว่า จักโค่นล้มเจ้าวัชชีผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ให้ขาดสูญ ให้พินาศ ให้ถึงความย่อยยับดับสูญ.
ก็สมัยนั้น ท่านพระอานนท์ยืนถวายงานพัดพระผู้มีพระภาคอยู่ ณ ด้านหลัง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า
อานนท์ เธอได้ยินได้ฟังมาแล้วอย่างนี้หรือไม่ ว่าชาววัชชีหมั่นประชุมกันเนืองๆ หมั่นประชุมกันโดยมาก.
พระอานนท์กราบทูลว่า ภันเต ข้าพระองค์ได้ยินได้ฟังมาว่า ชาววัชชีหมั่นประชุมกันเนืองเนืองๆ หมั่นประชุมกันโดยมาก.
อานนท์ ตราบใดที่ชาววัชชีจักหมั่นประชุมกันเนืองๆ หมั่นประชุมกันโดยมาก ตราบนั้นชาววัชชีก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย.
อานนท์ เธอได้ยินได้ฟังมาแล้วอย่างนี้หรือไม่ ว่าชาววัชชีเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อมเพรียงกันทำกิจที่ควรทำ.
ภันเต ข้าพระองค์ได้ยินได้ฟังมาว่า ชาววัชชีเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อมเพรียงกันทำกิจที่ควรทำ.
อานนท์ ตราบใดที่ชาววัชชีเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อมเพรียงกันทำกิจที่ควรทำอยู่ ตราบนั้นชาววัชชีก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย.
อานนท์ เธอได้ยินได้ฟังมาแล้วอย่างนี้หรือไม่ ว่าชาววัชชีไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่ได้บัญญัติ ไม่เพิกถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้ว แต่ประพฤติอยู่ในธรรมของชาววัชชี ตามที่ได้บัญญัติไว้แล้ว.
ภันเต ข้าพระองค์ได้ยินได้ฟังมาว่า ชาววัชชีไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่ได้บัญญัติ ไม่เพิกถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้ว แต่ประพฤติอยู่ในธรรมของชาววัชชี ตามที่ได้บัญญัติไว้แล้ว.
อานนท์ ตราบใดที่ชาววัชชีจักไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่ได้บัญญัติ ไม่เพิกถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้ว แต่ประพฤติมั่นอยู่ในธรรมของชาววัชชี ตามที่ได้บัญญัติไว้แล้ว ตราบนั้นชาววัชชีก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย.
อานนท์ เธอได้ยินได้ฟังมาแล้วอย่างนี้หรือไม่ ว่าชาววัชชียังสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ชาววัชชีที่เป็นผู้ใหญ่ และย่อมสำคัญว่า ถ้อยคำของท่านเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ตนควรเชื่อฟัง.
ภันเต ข้าพระองค์ได้ยินได้ฟังมาว่า ชาววัชชียังสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ชาววัชชีที่เป็นผู้ใหญ่ และย่อมสำคัญว่า ถ้อยคำของท่านเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ตนควรเชื่อฟัง.
อานนท์ ตราบใดที่ชาววัชชียังสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ชาววัชชีที่เป็นผู้ใหญ่ และจักสำคัญว่า ถ้อยคำของท่านเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งที่ตนควรเชื่อฟัง ตราบนั้นชาววัชชีก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย.
อานนท์ เธอได้ยินได้ฟังมาแล้วอย่างนี้หรือไม่ ว่าชาววัชชีไม่ขืนใจ ไม่บังคับหญิงในสกุล หรือกุมารีในสกุลให้อยู่ร่วมด้วย.
ภันเต ข้าพระองค์ได้ยินได้ฟังมาว่า ชาววัชชีไม่ขืนใจ ไม่บังคับหญิงในสกุล หรือกุมารีในสกุลให้อยู่ร่วมด้วย.
อานนท์ ตราบใดที่ชาววัชชีจักไม่ขืนใจ ไม่บังคับหญิงในสกุล หรือกุมารีในสกุลให้อยู่ร่วมด้วย ตราบนั้นชาววัชชีก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย.
อานนท์ เธอได้ยินได้ฟังมาแล้วอย่างนี้หรือไม่ ว่าชาววัชชียังคงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เจดีย์ของชาววัชชี ทั้งภายในและภายนอก ไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรม ซึ่งเคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นให้เสื่อมสูญไป.
ภันเต ข้าพระองค์ได้ยินได้ฟังมาว่า ชาววัชชียังคงสักการะ เคารพนับถือ บูชา เจดีย์ของชาววัชชี ทั้งภายในและภายนอก ไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรม ซึ่งเคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นให้เสื่อมสูญไป.
อานนท์ ตราบใดที่ชาววัชชียังคงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เจดีย์ของชาววัชชี ทั้งภายในและภายนอก ไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรม ซึ่งเคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นให้เสื่อมสูญไป ตราบนั้นชาววัชชีก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย.
อานนท์ เธอได้ยินได้ฟังมาแล้วอย่างนี้หรือไม่ ว่าชาววัชชีถวายความอารักขา ความคุ้มครอง ความป้องกันอันชอบธรรม ในพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอย่างดี ด้วยหวังว่า เหตุใดหนอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้นนี้ และที่มาแล้วขอจงอยู่เป็นผาสุกเถิด.
ภันเต ข้าพระองค์ได้ยินได้ฟังมาว่า ชาววัชชีจักถวายความอารักขา ความคุ้มครอง ความป้องกันอันชอบธรรม ในพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอย่างดี ด้วยหวังว่า เหตุใดหนอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้นนี้ และที่มาแล้วขอจงอยู่เป็นผาสุกเถิด.
อานนท์ ตราบใดที่ชาววัชชีจักถวายความอารักขา ความคุ้มครอง ความป้องกันอันชอบธรรม ในพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอย่างดี ด้วยหวังว่า เหตุใดหนอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้นนี้ ที่มาแล้วขอจงอยู่เป็นผาสุกเถิด ตราบนั้นชาววัชชีก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะวัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธว่า
พราหมณ์ สมัยหนึ่ง เราอยู่ ณ สารันททเจดีย์ ใกล้พระนครเวสาลี ณ ที่นั้น เราได้แสดงอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้แก่เจ้าวัชชีว่า พราหมณ์ ตราบใดที่อปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้จักตั้งอยู่ในชาววัชชี และชาววัชชีจักเห็นตรงกันในอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่ ตราบนั้นชาววัชชีก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย.
วัสสการพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชาววัชชีประกอบด้วยอปริหานิยธรรมแม้แต่ละข้อ ก็พึงหวังความเจริญได้อย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย จะกล่าวไปไยถึงชาววัชชีผู้ประกอบด้วยอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการเล่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อนึ่ง ชาววัชชีอันพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตสัตรูเวเทหิบุตร ไม่พึงทำการต่อยุทธด้วยได้ เว้นเสียจากการเกลี้ยกล่อม เว้นเสียจากการยุยงให้แตกกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ผู้มีกิจมาก มีกรณียมาก ขอกราบลาไป ณ บัดนี้.
พราหมณ์ บัดนี้ท่านจงรู้กาลที่ควรเถิด.
ลำดับนั้น วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป.
-บาลี สตฺตก. อํ. 23/17/20.
https://84000.org/tipitaka/pali/?23//17
https://etipitaka.com/read/pali/23/17
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Rājagaha, on the Vulture’s Peak Mountain.
Now at that time King Ajātasattu Vedehiputta of Māgadha wanted to invade the Vajjis. He declared: “I shall wipe out these Vajjis, so mighty and powerful! I shall destroy them, and lay ruin and devastation upon them!”
And then King Ajātasattu addressed Vassakāra the brahmin minister of Māgadha, “Please, brahmin, go to the Buddha, and in my name bow with your head to his feet. Ask him if he is healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. And then say: ‘Sir, King Ajātasattu Vedehiputta of Māgadha wants to invade the Vajjis. He has declared: “I shall wipe out these Vajjis, so mighty and powerful! I shall destroy them, and lay ruin and devastation upon them!”’ Remember well how the Buddha answers and tell it to me. For Realized Ones say nothing that is not so.”
“Yes, sir,” Vassakāra replied. He went to the Buddha and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to the Buddha:
“Master Gotama, King Ajātasattu bows with his head to your feet. He asks if you are healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. King Ajātasattu wants to invade the Vajjis. He has declared: ‘I shall wipe out these Vajjis, so mighty and powerful! I shall destroy them, and lay ruin and devastation upon them!’”
Now at that time Venerable Ānanda was standing behind the Buddha fanning him. Then the Buddha said to him: “Ānanda, have you heard that the Vajjis meet frequently and have many meetings?”
“I have heard that, sir.”
“As long as the Vajjis meet frequently and have many meetings, they can expect growth, not decline.
Ānanda, have you heard that the Vajjis meet in harmony, leave in harmony, and carry on their business in harmony?”
“I have heard that, sir.”
“As long as the Vajjis meet in harmony, leave in harmony, and carry on their business in harmony, they can expect growth, not decline.
Ānanda, have you heard that the Vajjis don’t make new decrees or abolish existing decrees, but proceed having undertaken the ancient Vajjian principles as they have been decreed?”
“I have heard that, sir.”
“As long as the Vajjis don’t make new decrees or abolish existing decrees, but proceed having undertaken the traditional Vajjian principles as they have been decreed, they can expect growth, not decline.
Ānanda, have you heard that the Vajjis honor, respect, esteem, and venerate Vajjian elders, and think them worth listening to?”
“I have heard that, sir.”
“As long as the Vajjis honor, respect, esteem, and venerate Vajjian elders, and think them worth listening to, they can expect growth, not decline.
Ānanda, have you heard that the Vajjis don’t rape or abduct women or girls from their families and force them to live with them?”
“I have heard that, sir.”
“As long as the Vajjis don’t rape or abduct women or girls from their families and force them to live with them, they can expect growth, not decline.
Ānanda, have you heard that the Vajjis honor, respect, esteem, and venerate the Vajjian shrines, whether inner or outer, not neglecting the proper spirit-offerings that were given and made in the past?”
“I have heard that, sir.”
“As long as the Vajjis honor, respect, esteem, and venerate the Vajjian shrines, whether inner or outer, not neglecting the proper spirit-offerings that were given and made in the past, they can expect growth, not decline.
Ānanda, have you heard that the Vajjis organize proper protection, shelter, and security for perfected ones, so that more perfected ones might come to the realm and those already here may live in comfort?”
“I have heard that, sir.”
“As long as the Vajjis organize proper protection, shelter, and security for perfected ones, so that more perfected ones might come to the realm and those already here may live in comfort, they can expect growth, not decline.”
Then the Buddha said to Vassakāra:
“Brahmin, one time I was staying near Vesālī at the Sārandada woodland shrine. There I taught the Vajjis these principles that prevent decline. As long as these seven principles that prevent decline last among the Vajjis, and as long as the Vajjis are seen following them, they can expect growth, not decline.”
When the Buddha had spoken, Vassakāra said to him: “Master Gotama, if the Vajjis follow even a single one of these principles they can expect growth, not decline. How much more so all seven! King Ajātasattu cannot defeat the Vajjis in war, unless by diplomacy or by sowing dissension. Well, now, Master Gotama, I must go. I have many duties, and much to do.”
“Please, brahmin, go at your convenience.” Then Vassakāra the brahmin, having approved and agreed with what the Buddha said, got up from his seat and left.