ถ้าหาเพื่อนดีไม่ได้ ก็อยู่คนเดียวดีกว่า
เรื่องมีอยู่ว่าภิกษุ ๒ รูปทะเลาะกัน คือ รูปหนึ่งหาว่าอีกรูปหนึ่งต้องอาบัติแล้วไม่เห็นอาบัติ จึงพาพวกมาประชุมสวดประกาศลงอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุรูปนั้น แต่ละรูปต่างก็มีเพื่อนฝูงมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย และต่างก็หาว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำไม่ถูก ถึงกับทำให้สงฆ์แตกกันเป็นสองฝ่าย และแยกทำอุโบสถ แม้พระผู้พระภาคจะทรงแนะนำตักเตือนให้ประนีประนอมกันก็ไม่ฟัง ในที่สุดถึงกับเกิดความบาดหมาง เกิดความทะเลาะ ถึงการวิวาทกัน ย่อมทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก ในท่ามกลางสงฆ์อยู่ พระผู้มีพระภาคจึงทรงตักเตือนภิกษุเหล่านั้นว่า
ภิกษุทั้งหลาย พอที พวกเธอทั้งหลาย อย่าบาดหมางกันเลย อย่าทะเลาะกันเลย อย่าโต้เถียงกันเลย อย่าวิวาทกันเลย.
ภิกษุอธรรมวาทีรูปหนึ่งได้ทูลขึ้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นธรรมสามี ขอพระองค์จงหยุดไว้ก่อนเถิด ขอจงทรงขวนขวายน้อยเถิด ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอจงทรงประกอบในสุขวิหารในทิฏฐธรรมอยู่เถิด พวกข้าพระองค์ทั้งหลายจักทำให้เห็นดำเห็นแดงกัน ด้วยการบาดหมางกัน ด้วยการทะเลาะกัน ด้วยการโต้เถียงกัน ด้วยการวิวาทกัน อันนี้เอง.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้แก่ภิกษุเหล่านั้นเป็นคำรบ ๒ ว่า ภิกษุทั้งหลาย พอที พวกเธอทั้งหลาย อย่าบาดหมางกันเลย อย่าทะเลาะกันเลย อย่าโต้เถียงกันเลย อย่าวิวาทกันเลย.
ภิกษุอธรรมวาทีรูปนั้นได้ทูลคำนี้ขึ้นเป็นคำรบ ๒ ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นธรรมสามี ขอพระองค์จงหยุดไว้ก่อนเถิด ขอจงทรงขวนขวายน้อยเถิด ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอจงทรงประกอบในสุขวิหารในทิฏฐธรรมอยู่เถิด พวกข้าพระองค์ทั้งหลายจักทำให้เห็นดำเห็นแดงกัน ด้วยการบาดหมางกัน ด้วยการทะเลาะกัน ด้วยการโต้เถียงกัน ด้วยการวิวาทกัน อันนี้เอง.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงสั่งสอนภิกษุทั้งหลาย ให้ดูตัวอย่างทีฆาวุกุมาร แห่งแคว้นโกศลผู้คิดแก้แค้นพระเจ้าพรหมทัตแห่งแคว้นกาสี ในการที่จับพระราชมารดาและพระราชบิดาของพระองค์ คือพระเจ้าทีฆีติกับพระมเหสีไปทรมาน แห่ประจาน และประหารชีวิต เมื่อมีโอกาสจะแก้แค้นได้ ก็ยังระลึกถึงโอวาทของบิดา ที่ไม่ให้เห็นแก่ยาว (คือไม่ให้ผูกเวรจองเวรไว้นาน) ไม่ให้เห็นแก่สั้น (คือไม่ให้ตัดไมตรีกับมิตร) และให้สำนึกว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร จึงไว้ชีวิตพระเจ้าพรหมทัต สุดท้ายก็กลับได้ราชสมบัติที่เสียไปคืนมา พร้อมทั้งได้พระราชธิดาของพระเจ้าพรหมทัตด้วย.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ขันติ โสรัจจะ เห็นปานนี้ ได้มีแล้วแก่พระราชาเหล่านั้น ผู้ถืออาชญา ผู้ถือศัสตราวุธ ก็การที่พวกเธอบวชในธรรมวินัย อันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ จะพึงอดทนและสงบเสงี่ยมนั้น ก็จะพึงงดงามในธรรมวินัยนี้แน่.
จากนั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้แก่ภิกษุเหล่านั้นเป็นคำรบ ๓ ว่า ภิกษุทั้งหลาย พอที พวกเธอทั้งหลาย อย่าบาดหมางกันเลย อย่าทะเลาะกันเลย อย่าโต้เถียงกันเลย อย่าวิวาทกันเลย.
ภิกษุอธรรมวาทีรูปนั้นได้ทูลคำนี้ขึ้นเป็นคำรบ ๓ ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นธรรมสามี ขอพระองค์จงหยุดไว้ก่อนเถิด ขอจงทรงขวนขวายน้อยเถิด ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอจงทรงประกอบในสุขวิหารในทิฏฐธรรมอยู่เถิด พวกข้าพระองค์ทั้งหลายจักทำให้เห็นดำเห็นแดงกัน ด้วยการบาดหมางกัน ด้วยการทะเลาะกัน ด้วยการโต้เถียงกัน ด้วยการวิวาทกัน อันนี้เอง.
พระภาคทรงดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้หัวดื้อนักแล เราจะให้โมฆบุรุษเหล่านี้เข้าใจกัน ทำไม่ได้ง่ายเลย ดังนี้ แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.
ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปสู่เมืองโกสัมพี เพื่อบิณฑบาต ครั้นทรงเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพีแล้ว ภายหลังอาหาร กลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงเก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวร แล้วประทับยืนท่ามกลางสงฆ์ แล้วตรัสคาถานี้ว่า
คนไพร่ๆ ด้วยกัน ส่งเสียงเอ็ดตะโร แต่หามีคนไหนสำคัญตัวเองว่าเป็นพาลไม่
เมื่อสงฆ์แตกกัน ก็หาได้มีใครรู้สึกเป็นอย่างอื่น ให้ดีขึ้นไปกว่านั้นได้ไม่
พวกบัณฑิตลืมตัว สมัครที่จะพูดตามทางที่ตนปรารถนา
จะพูดอย่างไร ก็พูดพล่ามไปอย่างนั้น
หาได้นำพาถึงกิเลสที่เป็นเหตุแห่งการทะเลาะกันไม่
พวกใด ยังผูกใจเจ็บอยู่ว่า ผู้นั้นได้ด่าเรา ได้ทำร้ายเรา ได้เอาชนะเรา
ได้ลักทรัพย์ของเรา เวรของพวกนั้น ย่อมระงับไม่ลง
พวกใด ไม่ผูกใจเจ็บว่า ผู้นั้นได้ด่าเรา ได้ทำร้ายเรา ได้เอาชนะเรา
ได้ลักทรัพย์ของเรา เวรของพวกนั้น ย่อมระงับได้
ในยุคไหนก็ตาม เวรทั้งหลาย ไม่เคยระงับได้ด้วยการผูกเวรเลย
แต่ระงับได้ด้วยการไม่ผูกเวร ธรรมนี้เป็นของเก่าที่ใช้ได้ตลอดกาล
คนพวกอื่น ไม่รู้สึกว่า พวกเราจะแหลกลาญก็เพราะเหตุนี้
พวกใด สำนึกตัวได้ในเหตุที่มีนั้น
ความมุ่งร้ายกันย่อมระงับได้ เพราะความรู้สึกนั้น
ความกลมเกลียว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ยังมีได้แม้แก่พวกคนกักขฬะเหล่านั้น
ที่ปล้นเมือง หักแข้งขาชาวบ้าน ฆ่าฟันผู้คน
แล้วต้อนม้า โค และขนเอาทรัพย์ไป แล้วทำไมจะมีแก่พวกเธอไม่ได้เล่า
ถ้าหากไม่ได้สหายที่พาตัวรอด เป็นปราชญ์
ที่มีความเป็นอยู่ดี เป็นเพื่อนร่วมทางแล้ว
ก็จงทำตัวให้เหมือนพระราชา ที่ละทิ้งแคว้นซึ่งพิชิตได้ แล้วเที่ยวไปคนเดียว
ดุจช้างมาตังคะ เที่ยวไปในป่าตัวเดียว ฉะนั้น
การเที่ยวไปคนเดียว ดีกว่า เพราะไม่มีความเป็นสหายกันได้กับคนพาล
พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่ทำบาป เป็นคนมักน้อย
ดุจช้างมาตังคะ เป็นสัตว์มักน้อย เที่ยวไปในป่า ฉะนั้น.
ครั้นแล้วจึงเสด็จไปจากที่นั้นสู่พาลกโลณการกคาม สู่ป่าชื่อปาจีนวังสะโดยลำดับ ได้ทรงพบปะกับพระเถระต่างๆ ในที่ที่เสด็จไปนั้น ในที่สุดได้เสด็จไปพำนักอยู่ที่โคนไม้สาละอันร่มรื่น ณ ป่าชื่อปาริเลยยกะ และได้มีพญาช้างชื่อปาริเลยยกะ มาอุปัฏฐากดูแลพระผู้มีพระภาค ต่อจากนั้นจึงได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้น อุบาสกอุบาสิกาชาวพระนครโกสัมพีได้หารือกันดังนี้ว่า พระคุณเจ้าเหล่าภิกษุชาวพระนครโกสัมพีนี้ ทำความพินาศใหญ่โตให้พวกเรา พระผู้มีพระภาคถูกท่านเหล่านี้รบกวนจึงเสด็จหลีกไปเสีย เอาละ พวกเราไม่ต้องอภิวาท ไม่ต้องลุกรับ ไม่ต้องทำอัญชลีกรรมสามีจิกรรม ไม่ต้องทำสักการะ ไม่ต้องเคารพ ไม่ต้องนับถือ ไม่ต้องบูชาซึ่งพระคุณเจ้าเหล่าภิกษุชาวพระนครโกสัมพี แม้เข้ามาบิณฑบาต ก็ไม่ต้องถวายบิณฑบาต ท่านเหล่านี้ถูกพวกเราไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา เป็นผู้ไม่มีสักการะอย่างนี้ จักหลีกไปเสีย หรือจักสึกเสีย หรือจักให้พระผู้มีพระภาคทรงโปรด ครั้นแล้วไม่อภิวาท ไม่ลุกรับ ไม่ทำอัญชลีกรรมสามีจิกรรม ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา ซึ่งพวกภิกษุชาวพระนครโกสัมพี แม้เข้ามาบิณฑบาตก็ไม่ถวายบิณฑบาต.
ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวพระนครโกสัมพี ถูกอุบาสกอุบาสิกาชาวพระนครโกสัมพีไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา เป็นผู้ไม่มีสักการะ จึงพูดกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ! ถ้าอย่างนั้น พวกเราพึงไปพระนครสาวัตถี แล้วระงับอธิกรณ์นี้ในสำนักพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้ว เก็บสนาสนะ ถือบาตรจีวร พากันเดินทางไปพระนครสาวัตถี. …
-บาลี มหา. วิ. 5/312/238.
https://84000.org/tipitaka/pali/?5//312
https://etipitaka.com/read/pali/5/312
English translation by Bhikkhu Brahmali
… At this time the monks were arguing and disputing in the dining halls in inhabited areas, displaying improper physical and verbal behavior, such as grabbing one another with their hands. People complained and criticized them, “How can the Sakyan monastics act like this?”
The monks heard the complaints of those people, and the monks of few desires complained and criticized them, “How can monks act like this?” They told the Buddha. He had the Sangha gathered and questioned the monks: “Is it true, monks, that monks are acting like this?”
“It’s true, Sir.”
The Buddha criticized them … and after criticizing them he gave a teaching and addressed the monks:
“When the Sangha is divided and the monks are behaving contrary to the Teaching and are not on friendly terms, they should sit down and reflect, ‘We won’t display improper physical and verbal behavior, such as grabbing one another with our hands.’ When the Sangha is divided, but the monks are behaving in accordance with the Teaching and are on friendly terms, they should sit down one seat apart.”
The monks were also arguing and disputing in the midst of the Sangha, attacking one another verbally, and they were unable to resolve that legal issue. A certain monk went to the Buddha, bowed, and told him what was happening, adding, “Venerable Sir, it would be good if you went to those monks out of compassion.” The Buddha consented by remaining silent.
The Buddha then went to those monks, sat down on the prepared seat, and said, “Enough, monks, don’t quarrel and dispute.”
A certain monk who spoke contrary to the Teaching replied, “Wait, Sir. You are the Lord of the Teaching and there is no need for you to be concerned. Just enjoy the happiness of the present life. We’ll face the consequences of this quarrelling and disputing.” The Buddha repeated his appeal to those monks, but got the same reply.
2. The story of Dīghāvu
The Buddha then said,
“At one time in Benares, monks, there was a king of Kāsī called Brahmadatta. He was rich and powerful, had many vehicles and transport animals, and possessed a large kingdom and much wealth. Then there was Dīghīti, the King of Kosala, who was poor and had little power, who had few vehicles and transport animals, and who possessed only a small kingdom and little wealth.
At one time King Brahmadatta, armed with his fourfold army, marched out to attack King Dīghīti. When King Dīghīti heard about this, he reflected on King Brahmadatta’s superior wealth and power and concluded, ‘I’m incapable of repelling even a single strike from Brahmadatta. Let me flee the town before he arrives.’
And he fled the town together with his queen. King Brahmadatta then conquered and seized the army, the vehicles and transport animals, and the country and wealth of King Dīghīti.
King Dīghīti and his wife set out for Benares. When they eventually arrived, they stayed in the house of a potter on the edge of the town, disguised as wanderers.
Soon the queen became pregnant. She craved to see the fully armed fourfold army standing on even ground at sunrise and to drink water from the washing of swords. She told the King, and he replied, ‘How are we going to achieve that when we’re in such a difficult situation?’
‘If I don’t get it, I’ll die.’
At that time King Brahmadatta had a brahmin counselor who was a friend of King Dīghīti. King Dīghīti went to his friend and told him about his wife’s pregnancy and craving. The brahmin replied, ‘Well then, let me see the queen.’
The queen then went to that brahmin. When he saw her coming, he got up from his seat, put his upper robe over one shoulder, raise his joined palms, and exclaimed an inspired utterance three times:
‘You have the King of Kosala in your womb!’ And he added, ‘Be pleased, lady. You’ll get to see the fully armed fourfold army standing on even ground at sunrise and to drink water from the washing of swords.’
The brahmin counselor then went to King Brahmadatta and said, ‘The omens are such, Sir, that tomorrow you should have the fully armed fourfold army stand on even ground at sunrise and have the swords washed.’ The king told his people to act accordingly. And as a consequence, the queen was able to satisfy her craving.
When the pregnancy matured, the queen gave birth to a son. They called him Dīghāvu. Soon enough Prince Dīghāvu became self-reliant. King Dīghīti thought, ‘This King Brahmadatta has caused us much misfortune; he’s taken our army, our vehicles and transport animals, and our country and wealth. If he finds out about us, he will kill all three of us. Let me take Prince Dīghāvu to live out-of-town.’ And he did just that. As he was living outside of town, Prince Dīghāvu was soon training in all branches of knowledge.
At this time King Dīghīti’s old barber was living under King Brahmadatta. On one occasion he saw King Dīghīti and his wife staying in that potter’s house, disguised as wanderers. He then went to King Brahmadatta and told him. The King ordered his people to get King Dīghīti and his wife. When they had done so, he said, ‘Bind their arms behind their backs with a strong rope. Shave their heads and parade them from street to street, from intersection to intersection, to the beat of a harsh drum. Then take them out of town through the southern gate, cut them into four pieces, and place the pieces at the four directions.’ Saying, ‘Yes, Sir,’ they bound and shaved King Dīghīti and his wife as instructed, and paraded them from street to street, from intersection to intersection, to the beat of a harsh drum.
Just then Prince Dīghāvu thought, ‘I haven’t seen my parents for a long time. Let me pay them a visit.’ When he entered Benares, he saw what was happening to his parents. As he went up to them, King Dīghīti said to him, ‘My dear Dīghāvu, see neither long nor short. For hatred never ends through hatred; hatred only ends through love.’
The people there said to King Dīghīti, ‘You’re insane, King Dīghīti, you’re babbling. Who is Dīghāvu? And who is he saying this to?’
‘I’m not insane; I’m not babbling. Those who are wise will understand.’
King Dīghīti repeated what he had said to the Prince a second and a third time, and events unfolded as before.
Then, when the parading was finished, the people took King Dīghīti and his wife through the southern gate and cut them into four pieces. They placed the pieces at the four directions, set up guard, and departed.
Prince Dīghāvu entered Benares, brought back some alcohol, and gave it to the guards. When they were lying drunken on the ground, he collected sticks, made a funeral pile, and placed his parents’ bodies on top. He then lit the pile, and with joined palms raised, he circumambulated it with his right side toward it.
Just then King Brahmadatta was up in his best stilt house and he saw Prince Dīghāvu circumambulating the funeral pile with joined palms raised. He thought, ‘No doubt this is a relative of King Dīghīti. This is surely a sign of trouble for me, in as much as nobody has told me.’
The Prince then went into the wilderness and cried his heart out. Wiping away his tears, he entered Benares and went to the elephant stables next to the royal compound. He said to the elephant trainer, ‘Teacher, I wish to learn the profession.’
‘Well then, young brahmin, learn it.’
Soon the Prince got up early in the morning. He sang sweetly and played the lute in the elephant stables. King Brahmadatta, too, got up early in the morning, and he heard Prince Dīghāvu singing. He asked his people who it was, and they replied, ‘Sir, it’s a young brahmin who is an apprentice of such-and-such an elephant trainer.’
‘Well then, bring him here.’
They brought the Prince, and the King asked him whether he was the one who had been singing and playing the lute. When the Prince confirmed that it was he, the King said, ‘Well then, sing and play right here.’ Dīghāvu consented and did his best to please the King. The King said, ‘Young brahmin, please attend on me,’ and the Prince agreed.
The Prince then got up before King and went to bed after him. He willingly performed any services and was pleasant in his conduct and speech. Soon the King put the Prince in an intimate position of trust.
On one occasion the King said to the Prince, ‘Please harness a chariot and let’s go hunting.’ He did as asked and said to the King, ‘Sir, the chariot is harnessed. Please go at your convenience.’ The King then mounted the chariot and the Prince drove it. But he drove it away from the army.
When they had gone a long way, the King said to the Prince, ‘Unharness the chariot. I’m tired and I want to lie down.’ He did as asked and then sat down cross-legged on the ground. The King lay down, resting his head on the Prince’s lap. And because he was tired, he quickly fell asleep. The Prince thought, ‘This King has caused us much misfortune. He took our army, our vehicles and transport animals, and our country and wealth. He killed my mother and father. This is a good opportunity for me to take revenge.’ And he drew his sword from its sheath.
He then thought, ‘At the time of his death, my father said to me, “My dear Dīghāvu, see neither long nor short. For hatred never ends through hatred; hatred only ends through love.” It would not be proper of me not to follow my father’s advice.’ And he returned the sword to its sheath.
A second
and a third time he had the same thoughts, ‘This King has caused us much misfortune. He took our army, our vehicles and transport animals, and our country and wealth. He killed my mother and father. This is a good opportunity for me to take revenge.’ And he drew his sword from its sheath.
and a third time he had the same thoughts, ‘At the time of his death, my father said to me, “My dear Dīghāvu, see neither long nor short. For hatred never ends through hatred; hatred only ends through love.” and each time he ended up returning the sword to its sheath.
Then King Brahmadatta suddenly got up, frightened and alarmed. The Prince asked what was the matter, and the King said, ‘Just now, I dreamed that Prince Dīghāvu, the son of Dīghīti the King of Kosala, attacked me with a sword.’ Seizing the King’s head with his left hand and drawing his sword with his right hand, the Prince said to the King, ‘Sir, I’m that Prince Dīghāvu, the son of Dīghīti the King of Kosala. You have caused us much misfortune. You took our army, our vehicles and transport animals, and our country and wealth. You killed my mother and father. This is a good opportunity for me to take revenge.’
The King bowed down with his head at the Prince’s feet and said, ‘Dear Dīghāvu, please spare my life.’
‘Who am I to spare your life? Sir, it’s you who should spare mine.’
‘Well then, Dīghāvu, if you spare my life, I’ll spare yours.’
And the King and Dīghāvu spared each other’s lives. They shook hands and made a vow not to harm each other.
The King said to the Prince, ‘Well then, Dīghāvu, harness the chariot and let’s go.’ He did as asked and said to the King, ‘The chariot is harnessed. Please go at your own convenience.’ The King mounted the chariot and the Prince drove it. And he drove it so that it soon rejoined the army.
When he was back in Benares, the King gathered his court and said, ‘If you saw Prince Dīghāvu, the son of Dīghīti the King of Kosala, what would you do to him?’
They variously replied, ‘Sir, we would cut off his hands;’ ‘we would cut off his feet;’ ‘we would cut off his hands and feet;’ ‘we would cut off his ears;’ ‘we would cut off his nose;’ ‘we would cut off his ears and nose;’ ‘we would cut off his head.’
‘This is Prince Dīghāvu, the son of Dīghīti the King of Kosala. You shouldn’t do anything to harm him. I’ve spared his life and he’s spared mine.’
Soon afterwards the King said to Dīghāvu, ‘Dīghāvu, what’s the meaning of that which your father told you at the time of his death?’
‘When he said, “Not long,” he meant, “Don’t harbor hate for a long time.” When he said, “Not short,” he meant, “Don’t hastily break with your friends.” And when he said, “For hatred never ends through hatred; hatred only ends through love,” he was referring to your killing of my mother and father. For if I had killed you, those who wish you well would have killed me, and those who wish me well would in turn have killed them. In this way the hatred would never end through hatred. But now you have spared my life and I’ve spared yours. In this way hatred ends through love.’
The King thought, ‘It’s amazing how wise Dīghāvu is, in that he’s able to fully understand the meaning of his father’s brief statement.’ And he gave him back his father’s army, his vehicles and transport animals, and his country and wealth, and he also gave him his own daughter.
In this way, monks, those kings who had the authority to punish were actually patient and gentle. But you who have gone forth on this well-proclaimed spiritual path, you shine when you are patient and gentle.”
A third time the Buddha said to those monks “Enough, monks, don’t quarrel and dispute.” And for third time that monk who spoke contrary to the Teaching replied, “Wait, Sir. You are the Lord of the Teaching and there is no need for you to be concerned. Just enjoy the happiness of the present life. We’ll face the consequences of this quarreling and disputing.”
The Buddha thought, “These foolish men are overpowered by emotions. It’s not easy to persuade them,” and he got up from his seat and left.
The first section for recitation on Dīghāvu is finished.
After robing up in the morning, the Buddha took his bowl and robe and entered Kosambī for alms. He walked for alms and had his meal, and after returning from almsround, he put his dwelling in order. He then took his bowl and robe, and while standing in the midst of the Sangha, he spoke these verses:
“When many voices shout at once,
No-one thinks they are a fool.
Even as the Sangha splits,
They do not think it through.
Forgetting to speak wisely,
They are obsessed by speech;
Saying whatever they like,
They don’t know what leads them on.
‘They abused me, they hit me,
They defeated me, they robbed me.’
For those who carry on like this,
Hatred cannot end.
‘They abused me, they hit me,
They defeated me, they robbed me.’
For those who do not carry on like this,Hatred has an end.
For never is hatred
Stopped by hatred;
Only by love does it stop—
This is an ancient law.
Others do not know
That here we need restraint.
But for those who know,
The quarrels have an end.
Those breaking bones and killing,
Those taking cows, horses, and wealth,
Those plundering the country,
Even they can stay together—
Why then cannot you?
If you get a discerning friend,
A steadfast companion, good to live with,
Then overcome all problems,
And go with them, glad and mindful.
If you do not get a discerning friend,
A steadfast companion, good to live with,
Then like a king giving up his kingdom,
Wander alone like a bull elephant in the forest.
It’s better to wander alone,
For there is no friendship with fools.
Wander alone and do no bad,
Unconcerned, like a bull elephant in the forest.”
The Buddha then instructed, inspired, and gladdened Venerable Anuruddha, Venerable Nandiya, and Venerable Kimila with a teaching. He then got up from his seat and set out wandering toward Pālileyyaka. When he eventually arrived, he stayed in a protected forest grove, at the foot of an auspicious sal tree.
While he was staying by himself, the Buddha thought, “When I was previously surrounded by people, I was not at ease because of those monks at Kosambī who were quarreling, arguing, and creating legal issues in the Sangha. But now that I’m alone, without a companion, I’m happy and at ease because I’m apart from those monks at Kosambī.”
At that time there was a large bull elephant who was surrounded by a crowd of male and female elephants, by young elephants and baby elephants. He ate grass with broken tips, and other elephants ate the branches that he had folded together. He drank muddied water, and when he was immersed in a pool, the female elephants came rubbing their bodies against his. He considered this and thought, “Why don’t I leave the herd and stay by myself?”
He then left the herd and went to Pālileyyaka, to the Buddha at the foot of the auspicious sal tree, in the protected forest grove. And he attended on the Buddha, using his trunk to set out water for drinking and water for washing and to clear the vegetation.
He thought, “When I was previously surrounded by elephants, I was not at ease because of the other elephants. But now that I’m alone, without a companion, I’m happy and at ease because I’m apart from those elephants.”
After considering his own seclusion and reading the mind of the elephant, the Buddha exclaimed this inspired utterance:
“The mind of this large elephant,With tusks like chariot poles,Agrees with the mind of the sage,Since they each delight in the forest solitude.”
When the Buddha had stayed at Pālileyyaka for as long as he liked, he set out wandering toward Sāvatthī. When he eventually arrived, he stayed in the Jeta Grove, Anāthapiṇḍika’s Monastery.
Soon the lay followers in Kosambī considered, “These venerable monks at Kosambī have caused us much misfortune. The Buddha himself left because he was troubled by them. Well then, let’s not bow down, rise up, raise our joined palms, or do acts of respect for them. And let’s not honor, respect, esteem, or associate with them, nor give them almsfood. Because of this, they will either leave, disrobe, or reconcile with the Buddha.” And that is what they did.
Soon the monks at Kosambī said, “Well then, let’s go to Sāvatthī and resolve this legal issue in the presence of the Buddha.” …
https://suttacentral.net/pli-tv-kd10/en/brahmali