จูฬสัจจกสูตร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี ครั้งนั้น สัจจกนิคันถบุตร อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี เป็นนักโต้วาทะ พูดยกตนว่าเป็นบัณฑิต ชนเป็นอันมากยกย่องว่าเป็นผู้มีความรู้ดี เขากล่าววาจาในที่ประชุมชนในเมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ แม้ผู้ที่ปฏิญญาตนว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ เมื่อปรารภโต้ตอบวาทะกับเราแล้ว จะไม่พึงประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้ เราไม่เห็นแม้แต่คนเดียวเลย หากเราปรารภโต้ตอบวาทะกะเสาที่ไม่มีเจตนา แม้เสาต้นนั้นปรารภโต้ตอบวาทะกับเรา ก็ต้องประหม่า สะทกสะท้าน หวั่นไหว จะกล่าวไปไยถึงมนุษย์เล่า.
ครั้งนั้น ในเวลาเช้า ท่านพระอัสสชิ นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลี สัจจกนิคันถบุตร เดินเที่ยวยืดแข้งขาอยู่ในเมืองเวสาลี ได้เห็นท่านพระอัสสชิเดินอยู่แต่ที่ไกล ครั้นเห็นแล้ว จึงเข้าไปหาท่านพระอัสสชิ ได้ปราศรัยกับท่าน ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ในที่สมควร แล้วได้ถามท่านพระอัสสชิดังนี้ว่า ท่านอัสสชิผู้เจริญ ก็พระสมณโคดม แนะนำสาวกทั้งหลายอย่างไร และคำสั่งสอนของพระสมณโคดม ที่เป็นไปในสาวกทั้งหลาย โดยส่วนมากเป็นอย่างไร.
ท่านพระอัสสชิตอบว่า อัคคิเวสสนะ พระผู้มีพระภาค ทรงแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค ที่เป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมากเป็นอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง (สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา)1 ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา (สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา) อัคคิเวสสนะ พระผู้มีพระภาค ทรงแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค ที่เป็นไปในสาวกทั้งหลาย โดยส่วนมากเป็นอย่างนี้.
สัจจกนิคันถบุตรกล่าวว่า ท่านอัสสชิผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ฟังว่า พระสมณโคดมมีวาทะอย่างนี้ เป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้ฟังไม่ดีแล้ว ถ้าอย่างไร บางที ข้าพเจ้าจะพบกับพระสมณโคดมผู้เจริญนั้น จะได้สนทนากันบ้าง ถ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะพึงช่วยปลดเปลื้องพระสมณโคดมเสียจากความเห็นที่เลวทรามนั้นได้.
สมัยนั้น เจ้าลิจฉวีประมาณ ๕๐๐ องค์ ประชุมกันอยู่ในสัณฐาคารด้วยกรณียกิจบางอย่าง ครั้งนั้น สัจจกนิครนถ์เข้าไปหาพวกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้กล่าวกะเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นดังนี้ว่า ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงไปด้วยกัน ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงไปด้วยกัน วันนี้ ข้าพเจ้าจักสนทนากับพระสมณโคดม ถ้าพระสมณโคดมจักตั้งอยู่ตามคำที่ภิกษุชื่ออัสสชิ ซึ่งเป็นสาวกรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงยืนยันแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักฉุด กระชาก ลาก ถ้อยคำของพระสมณโคดมมาด้วยถ้อยของคำข้าพเจ้า ให้เป็นเหมือนบุรุษผู้มีกำลัง จับแกะอันมีขนยาวที่ขน แล้วฉุดลากมาลากไปฉะนั้น หรือให้เป็นเหมือนคนที่ทำการงานในโรงสุราผู้มีกำลัง วางเสื่อลำแพนสำหรับรองแป้งสุราผืนใหญ่ในห้วงน้ำลึก แล้วจับที่มุมลากฟาดไปฟาดมาฉะนั้น าพเจ้าจักสลัดฟัดฟาดถ้อยคำพระสมณโคดมเสีย ให้เป็นเหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ซึ่งเป็นนักเลงสุราจับถ้วยที่หูแล้วสลัดไปมาฉะนั้น ข้าพเจ้าจักเล่นงานพระสมณโคดม เหมือนอย่างที่คนเขาเล่นกีฬาชื่อสาณโธวิก (ซักป่าน) ให้เป็นเหมือนช้างที่มีวัยล่วง ๖๐ ปี ลงสู่สระโบกขรณีที่มีน้ำลึก แล้วเล่นกีฬาชนิดที่ชื่อว่าสาณโธวิก ฉะนั้น ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงไปด้วยกัน ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงไปด้วยกัน วันนี้ ข้าพเจ้าจักสนทนากับพระสมณโคดม.
ในบรรดาเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น บางพวกกล่าวว่า พระสมณโคดมจักโต้แย้งถ้อยคำของสัจจกนิคันถบุตรได้อย่างไร ที่แท้ ท่านสัจจกนิคันถบุตรกลับโต้แย้งถ้อยคำของพระสมณโคดมเสีย บางพวกกล่าวว่า เป็นไปได้หรือที่สัจจนิคันถบุตร จักโต้แย้งถ้อยคำของพระผู้มีพระภาคได้ ที่แท้ พระผู้มีพระภาคกลับจักโต้แย้งถ้อยคำของท่านสัจจกนิคันถบุตรเสีย.
ลำดับนั้น สัจจกนิคันถบุตร มีเจ้าลิจฉวีประมาณ ๕๐๐ องค์ห้อมล้อมแล้ว เข้าไปยังกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน.
สมัยนั้น ภิกษุจำนวนมากกำลังจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ครั้งนั้น สัจจกนิคันถบุตรเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้ว ถามว่า ท่านผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ พระสมณโคดมนั้นอยู่ที่ไหน พวกข้าพเจ้าปรารถนาจะพบพระสมณโคดมนั้น.
ภิกษุทั้งหลายนั้นตอบว่า อัคคิเวสสนะ พระผู้มีภาคพระองค์นั้น เสด็จเข้าไปสู่ป่ามหาวัน ประทับพักกลางวัน ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง.
ลำดับนั้น สัจจกนิคันถบุตรพร้อมด้วยพวกเจ้าลิจฉวีจำนวนมาก เข้าไปสู่ป่ามหาวัน จนถึงที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่งในที่สมควร แม้เจ้าลิจฉวีทั้งหลายนั้น บางพวกถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร บางพวกทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร บางพวกประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตน ในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งในที่สมควร บางพวกก็นิ่งอยู่ในที่สมควร ครั้นต่างก็นั่งกันเรียบร้อยแล้ว สัจจกนิคันถบุตร ได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าพเจ้าขอถามท่านพระโคดมสักหน่อยหนึ่ง ถ้าพระโคดมจะให้โอกาสเพื่อตอบปัญหาแก่ข้าพเจ้า.
อัคคิเวสสนะ ท่านประสงค์จะถามปัญหาใด ก็ถามเถิด.
ท่านพระโคดมแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างไร และคำสั่งสอนของท่านพระโคดม ที่เป็นไปในสาวกทั้งหลาย โดยส่วนมากเป็นอย่างไร.
อัคคิเวสสนะ เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรา ที่เป็นไปในสาวกทั้งหลาย โดยส่วนมากเป็นอย่างนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ดังนี้ อัคคิเวสสนะ เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเราที่เป็นไปในสาวกทั้งหลาย โดยส่วนมากเป็นอย่างนี้.
ท่านพระโคดม ขออุปมาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอย่างหนึ่ง.
อัคคิเวสสนะ ท่านจงแสดงอุปมานั้นเถิด.
ท่านพระโคดม เปรียบเหมือนพืชพันธุ์ไม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ พืชพันธุ์เหล่านั้นทั้งหมด ต้องอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดิน จึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้ ท่านพระโคดม เปรียบเหมือนการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ต้องทำด้วยกำลัง อันบุคคลทำอยู่ การงานเหล่านั้นทั้งหมด บุคคลต้องอาศัยแผ่นดิน ต้องตั้งอยู่บนแผ่นดิน จึงทำกันได้ ท่านพระโคดม ฉันใดก็ฉันนั้น บุรุษบุคคลนี้ มีรูปเป็นอัตตา ต้องตั้งอยู่ในรูป จึงได้ประสบบุญ หรือสิ่งที่ไม่ใช่บุญ บุรุษบุคคลนี้มีเวทนาเป็นอัตตา ต้องตั้งอยู่ในเวทนา จึงได้ประสบบุญ หรือสิ่งที่ไม่ใช่บุญ บุรุษบุคคลนี้มีสัญญาเป็นอัตตา ต้องตั้งอยู่ในสัญญา จึงได้ประสบบุญ หรือสิ่งที่ไม่ใช่บุญ บุรุษบุคคลนี้มีสังขารเป็นอัตตา ต้องตั้งอยู่ในสังขาร จึงได้ประสบบุญ หรือสิ่งที่ไม่ใช่บุญ บุรุษบุคคลนี้มีวิญญาณเป็นอัตตา ต้องตั้งอยู่ในวิญญาณ จึงได้ประสบบุญ หรือสิ่งที่ไม่ใช่บุญ.
อัคคิเวสสนะ ข้อนั้นท่านกล่าวอย่างนี้ว่า รูปเป็นอัตตาของเรา เวทนาเป็นอัตตาของเรา สัญญาเป็นอัตตาของเรา สังขารทั้งหลายเป็นอัตตาของเรา วิญญาณเป็นอัตตาของเรา ดังนี้ ใช่หรือไม่.
ท่านพระโคดม ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนั้น หมู่ชนเป็นอันมากก็กล่าวอย่างนั้นว่า รูปเป็นอัตตาของเรา เวทนาเป็นอัตตาของเรา สัญญาเป็นอัตตาของเรา สังขารทั้งหลายเป็นอัตตาของเรา วิญญาณเป็นอัตตาของเรา ดังนี้ ไม่ใช่หรือ.
อัคคิเวสสนะ หมู่ชนเป็นอันมากนั้นจะช่วยอะไรท่านได้ อัคคิเวสสนะ เชิญท่านยืนยันถ้อยคำของท่านเถิด.
ท่านพระโคดม เป็นความจริง ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้ว่า รูปเป็นอัตตาของเรา เวทนาเป็นอัตตาของเรา สัญญาเป็นอัตตาของเรา สังขารทั้งหลายเป็นอัตตาของเรา วิญญาณเป็นอัตตาของเรา ดังนี้.
อัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้น เราจักสอบถามท่านในข้อนี้แหละ ท่านเห็นควรอย่างไร ท่านพึงตอบอย่างนั้น อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร อำนาจของพระราชา ผู้เป็นกษัตริย์ ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่นพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้าชาตศัตรูเวเทหิบุตร แห่งแคว้นมคธ มีอำนาจที่จะฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบทรัพย์คนที่ควรริบทรัพย์ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ใช่หรือไม่.
ท่านพระโคดม พระราชา ผู้เป็นกษัตริย์ ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่นพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตร แห่งแคว้นมคธ มีอำนาจที่จะฆ่าคนที่ควรฆ่า ยึดทรัพย์คนที่ควรริบทรัพย์ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ ท่านพระโคดม แม้แต่คณะผู้ปกครองเหล่านี้ คือ เจ้าวัชชี หรือเจ้ามัลละ ก็มีอำนาจที่จะฆ่าคนที่ควรฆ่า ยึดทรัพย์คนที่ควรริบทรัพย์ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ ในแว่นแคว้นของตน เหตุใด พระราชา ผู้เป็นกษัตริย์ ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่นพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้าชาตศัตรูเวเทหิบุตร แห่งแคว้นมคธ จะไม่มีอำนาจเล่า พระราชา ผู้เป็นกษัตริย์ ได้มุรธาภิเษกแล้วนั้น ต้องมีอำนาจ (เช่นนั้น) และควรจะมีอำนาจ (เช่นนั้น) ด้วย.
อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ข้อที่ท่านกล่าวว่า รูปเป็นอัตตาของเรา ท่านมีอำนาจในรูปนั้นว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว สัจจกนิคันถบุตรก็นิ่งเสีย.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับสัจจกนิคันถบุตรเป็นครั้งที่ ๒ ว่า อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ข้อที่ท่านกล่าวว่า รูปเป็นอัตตาของเรา ท่านมีอำนาจในรูปนั้นว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว สัจจกนิคันถบุตรก็นิ่งเสียเป็นครั้งที่ ๒.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกับสัจจกนิคันถบุตรว่า อัคคิเวสสนะ เวลานี้ ท่านจงตอบ ไม่ใช่เวลาที่ท่านควรนิ่ง อัคคิเวสสนะ ผู้ใด ถูกตถาคตถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้วถึง ๓ ครั้ง แล้วไม่ตอบ ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็น ๗ เสี่ยงในที่นั้นนั่นเอง.
สมัยนั้น ยักษ์วชิรปาณี ถือกระบองเพชรมีไฟลุกโพลงโชติช่วง ลอยอยู่ในอากาศ เบื้องบนศีรษะสัจจกนิคันถบุตร คิดว่า ถ้าสัจจกนิคันถบุตรนี้ ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้วถึง ๓ ครั้ง แล้วไม่ตอบ เราจักทุบศีรษะของเขาให้แตกเป็น ๗ เสี่ยงในที่นี้แหละ ยักษ์วชิรปาณีนั้น พระผู้มีพระภาคกับสัจจกนิคันถบุตรเท่านั้นที่เห็นอยู่ ในทันใดนั้น สัจจกนิคันถบุตร ตกใจกลัวจนขนลุกชัน แสวงหาพระผู้มีพระภาคเป็นที่ต้านทาน เป็นที่ป้องกัน เป็นที่พึ่ง ได้ทูลว่า ท่านพระโคดม ขอจงถามเถิด ข้าพเจ้าจักตอบ ณ บัดนี้.
อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า รูปเป็นอัตตาของเรา ท่านมีอำนาจในรูปนั้นว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ.
ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจงมนสิการ (ทำไว้ในใจ) เถิด ครั้นมนสิการแล้วจึงตอบ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของท่านไม่ตรงกัน อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา ท่านมีอำนาจในเวทนานั้นว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ.
ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจงมนสิการเถิด ครั้นมนสิการแล้วจึงตอบ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของท่านไม่ตรงกัน อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า สัญญาเป็นอัตตาของเรา ท่านมีอำนาจในสัญญานั้นว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ.
ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจงมนสิการเถิด ครั้นมนสิการแล้วจึงตอบ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของท่านไม่ตรงกัน อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายเป็นอัตตาของเรา ท่านมีอำนาจในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นว่า สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ.
ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจงมนสิการเถิด ครั้นมนสิการแล้วจึงตอบ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของท่านไม่ตรงกัน อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า วิญญาณเป็นอัตตาของเรา ท่านมีอำนาจในวิญญาณนั้นว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ.
ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจงมนสิการเถิด ครั้นมนสิการแล้วจึงตอบ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของท่านไม่ตรงกัน อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ พระโคดมผู้เจริญ.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ผู้ใดติดทุกข์ เข้าถึงทุกข์แล้ว จมอยู่ในทุกข์แล้ว ยังตามเห็นทุกข์ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา ดังนี้ ผู้นั้นจะกำหนดรู้ทุกข์ได้เอง หรือจะทำทุกข์ให้สิ้นไปแล้วจึงอยู่ มีบ้างหรือ.
จะพึงมีได้อย่างไร ข้อนี้มีไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร เมื่อเป็นอย่างนี้ ตัวท่านเองก็ติดทุกข์ เข้าถึงทุกข์แล้ว จมอยู่ในทุกข์แล้ว ยังตามเห็นทุกข์ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา ดังนี้ ใช่หรือไม่.
เหตุใดจะไม่เป็นอย่างนั้น พระโคดมผู้เจริญ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น พระโคดมผู้เจริญ.
อัคคิเวสสนะ เปรียบเหมือนบุรุษมีความต้องการแก่นไม้ เสาะหาแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้อยู่ ถือเอาผึ่งที่คมเข้าไปสู่ป่า เขาเห็นต้นกล้วยใหญ่ต้นหนึ่งในป่านั้น มีต้นตรง ยังกำลังรุ่น ยังไม่เกิดปลี เขาจึงตัดต้นกล้วยนั้นที่โคน แล้วตัดยอด ลอกกาบออกแล้ว เขาไม่พบแม้แต่กระพี้ แล้วจะพบแก่นได้จากที่ไหน อัคคิเวสสนะ ฉันใดก็ฉันนั้น ท่านถูกเราซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวน ในถ้อยคำของตนเอง ก็ว่าง ก็เปล่า แพ้ไปเอง อัคคิเวสสนะ ท่านได้กล่าววาจานี้ในที่ประชุมชนในเมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ แม้ผู้ที่ปฏิญญาตนว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ เมื่อปรารภโต้ตอบวาทะกับเราแล้ว จะไม่พึงประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้ เราไม่เห็นแม้แต่คนเดียวเลย หากเราปรารภโต้ตอบวาทะกะเสาที่ไม่มีเจตนา แม้เสาต้นนั้นปรารภโต้ตอบวาทะกับเรา ก็ต้องประหม่า สะทกสะท้าน หวั่นไหว จะกล่าวไปไยถึงมนุษย์เล่า ดังนี้.
อัคคิเวสสนะ หยาดเหงื่อของท่านบางหยาด หยดจากหน้าผากลงไปยังผ้าห่ม แล้วตกลงที่พื้น ส่วนเหงื่อในกายของเราในบัดนี้ไม่มีเลย ตรัสดังนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงเปิดพระกาย อันมีพระฉวีวรรณดุจทองคำในที่ประชุมชนนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สัจจกนิคันถบุตรได้นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ.
ในลำดับนั้น เจ้าลิจฉวีผู้มีนามว่าทุมมุขะ ทราบว่า สัจจกนิคันถบุตรนั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขออุปมาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอย่างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ทุมมุขะ ท่านจงแสดงอุปมานั้นเถิด.
ภันเต เปรียบเหมือนในที่ใกล้บ้าน หรือใกล้นิคม มีสระโบกขรณีอยู่สระหนึ่ง ในสระนั้นมีปูอยู่ตัวหนึ่ง พวกเด็กชายเด็กหญิงเป็นจำนวนมาก ออกจากบ้านหรือนิคมนั้น ไปถึงสระโบกขรณีนั้นแล้ว ก็ลงจับปูขึ้นจากน้ำ วางไว้บนบก ปูนั้นจะส่ายก้ามไปข้างไหน เด็กเหล่านั้นก็คอยต่อย ตี ทุบก้ามปูนั้นด้วยไม้บ้าง ด้วยกระเบื้องบ้าง เมื่อปูนั้นก้ามหักหมดแล้ว ก็ไม่อาจลงสู่สระโบกขรณีนั้นได้เหมือนก่อน ภันเต ฉันใดก็ฉันนั้น ทิฏฐิอันเป็นเสี้ยนหนาม ที่เข้าใจผิด ที่กวัดแกว่งบางอย่างของสัจจกนิคันถบุตร ถูกพระองค์หัก โค่น ลบล้างเสียแล้ว แต่นี้ไป สัจจกนิคันถบุตร ก็ไม่อาจจะเข้ามาใกล้พระองค์ ด้วยความประสงค์จะโต้วาทะได้อีก.
เมื่อเจ้าลิจฉวีทุมมุขะกล่าวอย่างนี้แล้ว สัจจกนิคันถบุตรจึงพูดว่า เจ้าทุมมุขะ ท่านหยุดเถิด เจ้าทุมมุขะ ท่านหยุดเถิด ท่านพูดมากนัก ข้าพเจ้าไม่ได้พูดกับท่าน ข้าพเจ้าพูดกับพระโคดมผู้เจริญต่างหาก ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ คำพูดของข้าพเจ้า และของพวกสมณพราหมณ์เหล่าอื่นนั้นโปรดยกเสียเถิด มันเป็นแค่คำเพ้อเจ้อ พูดเพ้อเจ้อกันไป.
สัจจกนิคันถบุตรทูลถามว่า ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สาวกของพระโคดมผู้เจริญ จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน ปฏิบัติตามโอวาท ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจ ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นอีก อยู่ในคำสอนของศาสดา (ของตน).
อัคคิเวสสนะ สาวกของเราในกรณีนี้ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม เธอย่อมเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูปทั้งหมดนั้น นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง … สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง … สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง … วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม เธอย่อมเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า วิญญาณทั้งหมดนั้น นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา อัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเท่านี้แหละ สาวกของเราจึงชื่อว่า เป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน ปฏิบัติตามโอวาท ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจ ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นอีก อยู่ในคำสอนของศาสดา (ของตน).
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ด้วยเพียงเหตุเท่าไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุถึงแล้วโดยลำดับ มีสัญโญชน์ที่จะนำไปสู่ภพสิ้นไปแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยถูกต้อง.
อัคคิเวสสนะ ภิกษุในกรณีนี้ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม เธอย่อมเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูปทั้งหมดนั้น นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง … สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง … สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง … วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม เธอย่อมเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า วิญญาณทั้งหมดนั้น นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมหลุดพ้นแล้วเพราะไม่มีอุปาทาน อัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว มีประโยชน์ตนอันบรรลุถึงแล้วโดยลำดับ มีสัญโญชน์ที่จะนำไปสู่ภพสิ้นไปแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยถูกต้อง.
อัคคิเวสสนะ ภิกษุที่มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ย่อมประกอบด้วยคุณอันยอดเยี่ยม ๓ ประการ คือ ความเห็นอันยอดเยี่ยม (ทัสสนานุตตริยะ) ข้อปฏิบัติอันยอดเยี่ยม (ปฏิปทานุตตริยะ) ความหลุดพ้นอันยอดเยี่ยม (วิมุตฺตานุตตริยะ) เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ตถาคตว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ตรัสรู้แล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อให้ตรัสรู้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฝึกตนแล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อให้ฝึกตน พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น สงบแล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อให้สงบ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ข้ามพ้นแล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อให้ข้ามพ้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ดับสนิทแล้ว (ปรินิพพาน) ย่อมแสดงธรรมเพื่อความดับสนิท (ปรินิพพาน).
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สัจจกนิคันถบุตรได้ทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นคนคอยกำจัดคุณของผู้อื่น เป็นคนคะนองวาจา ได้เข้าใจถ้อยคำของท่านพระโคดมว่า ตนสามารถหักล้างได้ด้วยถ้อยคำของตน พระโคดมผู้เจริญ บุรุษมาปะทะช้างตกมันเข้าก็ดี เจอะกองไฟอันกำลังลุกโพลงก็ดี เจอะงูพิษที่มีพิษร้ายก็ดี ก็ยังพอเอาตัวรอดได้บ้าง แต่มาเจอะพระโคดมเข้าแล้วไม่มีใครเอาตัวรอดได้เลย ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นคนคอยกำจัดคุณของผู้อื่น เป็นคนคะนองวาจา ได้เข้าใจถ้อยคำของท่านพระโคดมว่า ตนสามารถหักล้างได้ด้วยถ้อยคำของตน ขอท่านพระโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดรับนิมนต์เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ.
ลำดับนั้น สัจจกนิคันถบุตรทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงบอกพวกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นว่า เจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า พระโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ข้าพเจ้านิมนต์แล้ว เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ พวกท่านจะนำอาหารใดมาเพื่อข้าพเจ้า จงเลือกอาหารที่ควรแก่พระโคดมเถิด.
เมื่อล่วงราตรีนั้นแล้ว เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ได้นำภัตตาหารประมาณ ๕๐๐ สำรับไปให้แก่สัจจกนิคันถบุตร สัจจกนิคันถบุตรจึงให้จัดของเคี้ยวของฉันอันประณีตในอารามของตน เสร็จแล้วจึงให้ทูลบอกเวลาแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เวลานี้เป็นกาลอันควร ภัตตาหารจัดเตรียมสำเร็จแล้ว.
ครั้งนั้นในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จไปสู่อารามแห่งสัจจกนิคันถบุตร ประทับบนอาสนะที่ปูลาดไว้ถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ครั้งนั้น สัจจกนิคันถบุตรได้อังคาส (ถวายอาหาร) ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ให้อิ่มหนำสำราญด้วยมือของตน เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ นำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว สัจจกนิคันถบุตรจึงถือเอาอาสนะต่ำนั่งในที่สมควร แล้วได้ทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ขอบุญและผลบุญในทานนี้ จงมีเพื่อความสุขแก่ทายกทั้งหลายเถิด.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อัคคิเวสสนะ บุญและผลบุญในทานนี้ อาศัยทักขิเณยบุคคลที่ยังไม่สิ้นราคะ ไม่สิ้นโทสะ ไม่สิ้นโมหะ เช่นกับท่าน จักมีแก่ทายกทั้งหลาย ส่วนบุญและผลบุญอาศัยทักขิเณยบุคคล ที่สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เช่นกับเรา จักมีแก่ท่าน ดังนี้.
-บาลี ม. ม. 12/422/392.
https://84000.org/tipitaka/pali/?12/422,
https://etipitaka.com/read/pali/12/422
1 ฉบับสยามรัฐ เป็น สพฺเพ สงฺขารา อนตฺตา แต่ฉบับโบราณ และในสูตรอื่นเป็น สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Vesālī, at the Great Wood, in the hall with the peaked roof.
Now at that time Saccaka, the son of Jain parents, was staying in Vesālī. He was a debater and clever speaker regarded as holy by many people. He was telling a crowd in Vesālī, “If I was to take them on in debate, I don’t see any ascetic or brahmin—leader of an order or a community, or the teacher of a community, even one who claims to be a perfected one, a fully awakened Buddha—who would not shake and rock and tremble, sweating from the armpits. Even if I took on an insentient post in debate, it would shake and rock and tremble. How much more then a human being!”
Then Venerable Assaji robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Vesālī for alms. As Saccaka was going for a walk he saw Assaji coming off in the distance. He approached him and exchanged greetings with him.
When the greetings and polite conversation were over, Saccaka stood to one side and said to Assaji, “Master Assaji, how does the ascetic Gotama guide his disciples? And how does instruction to his disciples generally proceed?”
“Aggivessana, this is how the ascetic Gotama guides his disciples, and how instruction to his disciples generally proceeds: ‘Form, feeling, perception, choices, and consciousness are impermanent. Form, feeling, perception, choices, and consciousness are not-self. All conditions are impermanent. All things are not-self.’ This is how the ascetic Gotama guides his disciples, and how instruction to his disciples generally proceeds.”
“It’s sad to hear, Master Assaji, that the ascetic Gotama has such a doctrine. Hopefully, some time or other I’ll get to meet Master Gotama, and we can have a discussion. And hopefully I can dissuade him from this harmful misconception.”
Now at that time around five hundred Licchavis were sitting together at the meeting hall on some business. Then Saccaka went up to them and said, “Come forth, good Licchavīs, come forth! Today I am going to have a discussion with the ascetic Gotama. If he stands by the position stated to me by one of his well-known disciples—a mendicant named Assaji—I’ll take him on in debate and drag him to and fro and round about, like a strong man would drag a fleecy sheep to and fro and round about! Taking him on in debate, I’ll drag him to and fro and round about, like a strong brewer’s worker would toss a large brewer’s sieve into a deep lake, grab it by the corners, and drag it to and fro and round about! Taking him on in debate, I’ll shake him down and about, and give him a beating, like a strong brewer’s mixer would grab a strainer by the corners and shake it down and about, and give it a beating! I’ll play a game of ear-washing with the ascetic Gotama, like a sixty-year-old elephant would plunge into a deep lotus pond and play a game of ear-washing! Come forth, good Licchavīs, come forth! Today I am going to have a discussion with the ascetic Gotama.”
At that, some of the Licchavis said, “How can the ascetic Gotama refute Saccaka’s doctrine, when it is Saccaka who will refute Gotama’s doctrine?”
But some of the Licchavis said, “Who is Saccaka to refute the Buddha’s doctrine, when it is the Buddha who will refute Saccaka’s doctrine?”
Then Saccaka, escorted by the five hundred Licchavis, went to the hall with the peaked roof in the Great Wood.
At that time several mendicants were walking mindfully in the open air. Then Saccaka went up to them and said, “Gentlemen, where is Master Gotama at present? For we want to see him.”
“Aggivessana, the Buddha has plunged deep into the Great Wood and is sitting at the root of a tree for the day’s meditation.”
Then Saccaka, together with a large group of Licchavis, went to see the Buddha in the Great Wood, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side. Before sitting down to one side, some of the Licchavīs bowed, some exchanged greetings and polite conversation, some held up their joined palms toward the Buddha, some announced their name and clan, while some kept silent.
Then Saccaka said to the Buddha, “I’d like to ask Master Gotama about a certain point, if you’d take the time to answer.”
“Ask what you wish, Aggivessana.”
“How does the ascetic Gotama guide his disciples? And how does instruction to his disciples generally proceed?”
“This is how I guide my disciples, and how instruction to my disciples generally proceeds: ‘Form, feeling, perception, choices, and consciousness are impermanent. Form, feeling, perception, choices, and consciousness are not-self. All conditions are impermanent. All things are not-self.’ This is how I guide my disciples, and how instruction to my disciples generally proceeds.”
“A simile strikes me, Master Gotama.”
“Then speak as you feel inspired,” said the Buddha.
“All the plants and seeds that achieve growth, increase, and maturity do so depending on the earth and grounded on the earth. All the hard work that gets done depends on the earth and is grounded on the earth.
In the same way, an individual’s self is form. Grounded on form they make good and bad choices. An individual’s self is feeling … perception … choices … consciousness. Grounded on consciousness they make good and bad choices.”
“Aggivessana, are you not saying this: ‘Form is my self, feeling is my self, perception is my self, choices are my self, consciousness is my self’?”
“Indeed, Master Gotama, that is what I am saying. And this big crowd agrees with me!”
“What has this big crowd to do with you? Please just explain your own statement.”
“Then, Master Gotama, what I am saying is this: ‘Form is my self, feeling is my self, perception is my self, choices are my self, consciousness is my self’.”
“Well then, Aggivessana, I’ll ask you about this in return, and you can answer as you like. What do you think, Aggivessana? Consider an anointed aristocratic king such as Pasenadi of Kosala or Ajātasattu Vedehiputta of Magadha. Would they have the power in their own realm to execute, fine, or banish those who are guilty?”
“An anointed king would have such power, Master Gotama. Even federations such as the Vajjis and Mallas have such power in their own realm. So of course an anointed king such as Pasenadi or Ajātasattu would wield such power, as is their right.”
“What do you think, Aggivessana? When you say, ‘Form is my self,’ do you have power over that form to say: ‘May my form be like this! May it not be like that’?” When he said this, Saccaka kept silent. The Buddha asked the question a second time, but Saccaka still kept silent. So the Buddha said to Saccaka, “Answer now, Aggivessana. Now is not the time for silence. If someone fails to answer a legitimate question when asked three times by the Buddha, their head explodes into seven pieces there and then.”
Now at that time the spirit Vajirapāṇi, taking up a burning iron thunderbolt, blazing and glowing, stood in the sky above Saccaka, thinking, “If this Saccaka doesn’t answer when asked a third time, I’ll blow his head into seven pieces there and then!” And both the Buddha and Saccaka could see Vajirapāṇi.
Saccaka was terrified, shocked, and awestruck. Looking to the Buddha for shelter, protection, and refuge, he said, “Ask me, Master Gotama. I will answer.”
“What do you think, Aggivessana? When you say, ‘Form is my self,’ do you have power over that form to say: ‘May my form be like this! May it not be like that’?”
“No, Master Gotama.”
“Think about it, Aggivessana! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. What do you think, Aggivessana? When you say, ‘Feeling is my self,’ do you have power over that feeling to say: ‘May my feeling be like this! May it not be like that’?”
“No, Master Gotama.”
“Think about it, Aggivessana! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. What do you think, Aggivessana? When you say, ‘Perception is my self,’ do you have power over that perception to say: ‘May my perception be like this! May it not be like that’?”
“No, Master Gotama.”
“Think about it, Aggivessana! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. What do you think, Aggivessana? When you say, ‘Choices are my self,’ do you have power over those choices to say: ‘May my choices be like this! May they not be like that’?”
“No, Master Gotama.”
“Think about it, Aggivessana! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. What do you think, Aggivessana? When you say, ‘Consciousness is my self,’ do you have power over that consciousness to say: ‘May my consciousness be like this! May it not be like that’?”
“No, Master Gotama.”
“Think about it, Aggivessana! You should think before answering. What you said before and what you said after don’t match up. What do you think, Aggivessana? Is form permanent or impermanent?”
“Impermanent.”
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“Suffering.”
“But if it’s impermanent, suffering, and liable to fall apart, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“No, Master Gotama.”
“What do you think, Aggivessana? Is feeling … perception … choices … consciousness permanent or impermanent?”
“Impermanent.”
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“Suffering.”
“But if it’s impermanent, suffering, and liable to fall apart, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“No, Master Gotama.”
“What do you think, Aggivessana? Consider someone who clings, holds, and attaches to suffering, regarding it thus: ‘This is mine, I am this, this is my self.’ Would such a person be able to completely understand suffering themselves, or live having wiped out suffering?”
“How could they? No, Master Gotama.”
“What do you think, Aggivessana? This being so, aren’t you someone who clings, holds, and attaches to suffering, regarding it thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“How could I not? Yes, Master Gotama.”
“Suppose, Aggivessana, there was a person in need of heartwood. Wandering in search of heartwood, they’d take a sharp axe and enter a forest. There they’d see a big banana tree, straight and young and grown free of defects. They’d cut it down at the base, cut off the top, and unroll the coiled sheaths. But they wouldn’t even find sapwood, much less heartwood.
In the same way, when pursued, pressed, and grilled by me on your own doctrine, you turn out to be void, hollow, and mistaken. But it was you who stated before the assembly of Vesālī: ‘If I was to take them on in debate, I don’t see any ascetic or brahmin—leader of an order or a community, or the teacher of a community, even one who claims to be a perfected one, a fully awakened Buddha—who would not shake and rock and tremble, sweating from the armpits. Even if I took on an insentient post in debate, it would shake and rock and tremble. How much more then a human being!’ But sweat is pouring from your forehead; it’s soaked through your robe and drips on the ground. While I now have no sweat on my body.” So the Buddha revealed his golden body to the assembly. When this was said, Saccaka sat silent, embarrassed, shoulders drooping, downcast, depressed, with nothing to say.
Knowing this, the Licchavi Dummukha said to the Buddha, “A simile strikes me, Blessed One.”
“Then speak as you feel inspired,” said the Buddha.
“Sir, suppose there was a lotus pond not far from a town or village, and a crab lived there. Then several boys or girls would leave the town or village and go to the pond, where they’d pull out the crab and put it on dry land. Whenever that crab extended a claw, those boys or girls would snap, crack, and break it off with a stick or a stone. And when that crab’s claws had all been snapped, cracked, and broken off it wouldn’t be able to return down into that lotus pond. In the same way, sir, the Buddha has snapped, cracked, and broken off all Saccaka’s tricks, dodges, and evasions. Now he can’t get near the Buddha again looking for a debate.”
But Saccaka said to him, “Hold on, Dummukha, hold on! I wasn’t talking with you, I was talking with Master Gotama.
Master Gotama, leave aside that statement I made—as did various other ascetics and brahmins—it was, like, just a bit of nonsense. How do you define a disciple of Master Gotama who follows instructions and responds to advice; who has gone beyond doubt, got rid of indecision, gained assurance, and is independent of others in the Teacher’s instructions?”
“It’s when one of my disciples truly sees any kind of form at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all form—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ They truly see any kind of feeling … perception … choices … consciousness at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all consciousness—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ That’s how to define one of my disciples who follows instructions and responds to advice; who has gone beyond doubt, got rid of indecision, gained assurance, and is independent of others in the Teacher’s instructions.”
“But how do you define a mendicant who is a perfected one, with defilements ended, who has completed the spiritual journey, done what had to be done, laid down the burden, achieved their own true goal, utterly ended the fetters of rebirth, and is rightly freed through enlightenment?”
“It’s when one of my disciples truly sees any kind of form at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all form—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ And having seen this with right understanding they’re freed by not grasping. They truly see any kind of feeling … perception … choices … consciousness at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all consciousness—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ And having seen this with right understanding they’re freed by not grasping. That’s how to define a mendicant who is a perfected one, with defilements ended, who has completed the spiritual journey, done what had to be done, laid down the burden, achieved their own true goal, utterly ended the fetters of rebirth, and is rightly freed through enlightenment.
A mendicant whose mind is freed like this has three unsurpassable qualities: unsurpassable vision, practice, and freedom. They honor, respect, esteem, and venerate only the Realized One: ‘The Blessed One is awakened, tamed, serene, crossed over, and extinguished. And he teaches Dhamma for awakening, self-control, serenity, crossing over, and extinguishment.’”
When he had spoken, Saccaka said to him, “Master Gotama, it was rude and impudent of me to imagine I could attack you in debate. For a person might find safety after attacking a rutting elephant, but not after attacking Master Gotama. A person might find safety after attacking a blazing mass of fire, but not after attacking Master Gotama. They might find safety after attacking a poisonous viper, but not after attacking Master Gotama. It was rude and impudent of me to imagine I could attack you in debate. Would Master Gotama together with the mendicant Saṅgha please accept tomorrow’s meal from me?” The Buddha consented in silence.
Then, knowing that the Buddha had consented, Saccaka addressed those Licchavis, “Listen, gentlemen. I have invited the ascetic Gotama together with the Saṅgha of mendicants for tomorrow’s meal. You may all bring me what you think is suitable.”
Then, when the night had passed, those Licchavis presented Saccaka with an offering of five hundred servings of food. And Saccaka had a variety of delicious foods prepared in his own home. Then he had the Buddha informed of the time, saying, “Itʼs time, Master Gotama, the meal is ready.”
Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, went to Saccaka’s park, where he sat on the seat spread out, together with the Saṅgha of mendicants. Then Saccaka served and satisfied the mendicant Saṅgha headed by the Buddha with his own hands with a variety of delicious foods. When the Buddha had eaten and washed his hand and bowl, Saccaka took a low seat and sat to one side.
Then Saccaka said to the Buddha, “Master Gotama, may the merit and the growth of merit in this gift be for the happiness of the donors.”
“Aggivessana, whatever comes from giving to a recipient of a religious donation such as yourself—who is not free of greed, hate, and delusion—will accrue to the donors. Whatever comes from giving to a recipient of a religious donation such as myself—who is free of greed, hate, and delusion—will accrue to you.”
English translation by Suddhāso Bhikkhu
Thus have I heard. On one occasion the Blessed One was dwelling at Vesāli, in the Great Grove, at the Peaked-Roof Hall. Now on that occasion Saccaka Nigaṇṭhaputta1 was living at Vesāli; he was a debater, a clever orator considered a saint by much of the populace. He spoke this statement all around Vesāli: “I do not see any contemplative2 or holy man3, a leader of a community, a teacher of a group, even one claiming to be a fully enlightened Arahant, who would not tremble, quiver, shake, and emit sweat from their armpits when engaged in debate with me. Even if I were to engage a senseless post in debate, it would tremble, quiver, and shake when engaged in debate with me. What can be said of a human being?”
Then Venerable Assaji, after dressing in the morning and taking his bowl and robe, entered Vesāli for alms. While walking in Vesāli for exercise, Saccaka saw Venerable Assaji coming from afar. After seeing this, he approached Venerable Assaji and conversed with him. After engaging in the appropriate polite conversation, he stood to one side. While he was standing to one side, Saccaka said to Venerable Assaji, “Sir Assaji, how does the contemplative Gotama guide his disciples? What is the usual instruction given amidst the contemplative Gotama‘s disciples?”
“Aggivessana4, it is in this way that the Blessed One guides his disciples, and this is the usual instruction given amidst the Blessed One‘s disciples: ‘Monks, the body is impermanent, feelings are impermanent, recognition is impermanent, thoughts are impermanent, consciousness is impermanent. Monks, the body is not self, feelings are not self, recognition is not self, thoughts are not self, consciousness is not self. All conditions are impermanent, all phenomena are not self.’ Aggivessana, it is in this way that the Blessed One guides his disciples, and this is the usual instruction given amidst the Blessed One‘s disciples.”
“Oh, Sir Assaji, that is unpleasant to hear, what we have heard of the contemplative Gotama‘s doctrine. Perhaps at some point we will meet with Sir Gotama and there might be some conversation, and perhaps we can separate him from that harmful5 perspective.”
Now on that occasion about five hundred Licchavis were gathered together in the assembly-hall on account of something to be done. Then Saccaka approached those Licchavis and said to them, “May the Licchavi gentlemen come forth, may the Licchavi gentlemen come forth! Today I will have a conversation with the contemplative Gotama. If the contemplative Gotama maintains the same position that a certain famous disciple of his, the monk Assaji, has maintained, then just as a strong man might seize a long-haired goat by its hair and pull it around6, in the same way I will pull the contemplative Gotama around using words. Just as a strong pool-worker might toss a pool-mat in a lake, grasp one corner, and shake it up and down and beat it down, in the same way I will shake the contemplative Gotama up and down and beat him down using words. Just as a sixty-year-old elephant might plunge into a deep pond and play the hemp-washing game, in the same way I will play the hemp-washing game with the contemplative Gotama. May the Licchavi gentlemen come forth, may the Licchavi gentlemen come forth! Today I will have a conversation with the contemplative Gotama.”
Some of the Licchavis there thought, “How could the contemplative Gotama refute Saccaka‘s doctrine? Saccaka will refute the contemplative Gotama‘s doctrine.” Some of the other Licchavis thought, “How could Sir Saccaka refute the Blessed One‘s doctrine? The Blessed One will refute Saccaka‘s doctrine.” Then Saccaka approached the Peaked-Roof Hall in the Great Forest, surrounded by about five hundred Licchavis.
On this occasion several monks were walking in the open air. Then Saccaka approached those monks and said to them, “Sir, where does Sir Gotama currently reside? We want to see Sir Gotama.” “Aggivessana, the Blessed One has entered this Great Forest and is seated at the root of a certain tree for the day‘s abiding.” Then Saccaka entered the Great Forest with a large company of Licchavis7, approached the Blessed One, and conversed with him. After engaging in the appropriate polite conversation, he sat to one side. Some of Licchavis paid respects to the Blessed One and sat to one side. Some conversed with the Blessed One, and, after engaging in the appropriate polite conversation, sat to one side. Some extended their hands in añjali towards the Blessed One and sat to one side. Some announced their name and clan in the Blessed One‘s presence and sat to one side. Some remained silent and sat to one side.
While he was seated to one side, Saccaka said to the Blessed One, “I might ask Sir Gotama about a particular issue, if Sir Gotama will make an opportunity for answering my question.” “Aggivessana, ask what you wish.” “How does Sir Gotama guide his disciples? What is the usual instruction given amidst Sir Gotama‘s disciples?” “Aggivessana, I guide my disciples in this way, and this is the usual instruction given amidst my disciples: ‘Monks, the body is impermanent, feelings are impermanent, recognition is impermanent, thoughts are impermanent, consciousness is impermanent. Monks, the body is not self, feelings are not self, recognition is not self, thoughts are not self, consciousness is not self. All conditions are impermanent, all phenomena are not self.’ Aggivessana, it is in this way that I guide my disciples, and this is the usual instruction given amidst my disciples.”
“A simile occurs to me, Sir Gotama.”
“Then let it occur, Aggivessana,” the Blessed One said.
“It is like this, Sir Gotama: These seeds and plants attain increase, growth, and abundance. All of them are dependent on earth; all are established on earth. In this way these seeds and plants attain increase, growth, and abundance. It is like this, Sir Gotama, there are those who do work that requires strength. All of them are dependent on earth, all are established on earth.8 In this way they do work that requires strength. In the same way, Sir Gotama, a person has the body as self, and established on the body he accrues merit or demerit. A person has feeling as self… recognition as self… thoughts as self… consciousness as self, and established on consciousness he accrues merit or demerit.”
“Aggivessana, do you not therefore say, ‘The body is my self, feelings are my self, recognition is my self, thoughts are my self, consciousness is my self’?”
“Sir Gotama, I say ‘The body is my self, feelings are my self, recognition is my self, thoughts are my self, consciousness is my self,’ and so does the majority of the populace.”
“Aggivessana, what can the majority of the populace do for you? Aggivessana, surely you can explain your own assertion.”
“Sir Gotama, I say ‘The body is my self, feelings are my self, recognition is my self, thoughts are my self, consciousness is my self.’”
“Therefore, Aggivessana, I will ask you a counter-question about exactly that. Answer as you consider appropriate. What do you think, Aggivessana? Can a consecrated royal king exercise control in his own realm, to execute, fine, or exile those who are to be executed, fined, or exiled? For example, King Pasenadi of Kosala, or King Ajātasattu Vedehiputta of Magadha?” “Sir Gotama, a consecrated royal king can exercise control in his own realm, to execute, fine, or exile those who are to be executed, fined, or exiled; such as King Pasenadi of Kosala, or King Ajātasattu Vedehiputta of Magadha. Sir Gotama, even those who are ruled by a group – such as the Vajjīs or the Mallans – exercise control in their own realm, to execute, fine, or exile those who are to be executed, fined, or exiled. But what of consecrated royal kings, such as King Pasenadi of Kosala, or King Ajātasattu Vedehiputta of Magadha? Sir Gotama, they exercise control, and they are worthy to exercise control.”
“What do you think, Aggivessana? You say ‘The body is my self.’ Do you exercise control in that body, determining ‘May my body be like this, may my body not be like that’?” When this was said, Saccaka was silent. A second time the Blessed One said to Saccaka, “What do you think, Aggivessana? You say ‘The body is my self.’ Do you exercise control in that body, determining ‘May my body be like this, may my body not be like that’?” For a second time Saccaka was silent. Then the Blessed One said to Saccaka, “Answer now, Saccaka. This is not the time for you to be silent. Aggivessana, if someone does not answer when he has been asked a question that accords with the Dhamma by a Tathāgata for the third time, his head will immediately split into seven pieces.”
On this occasion the spirit9 Vajirapāṇi10 was standing in the sky above Saccaka, holding a lightning-bolt that was on fire, blazing, and radiant, thinking “If this Saccaka does not answer when asked a question that accords with the Dhamma by the Blessed One for the third time, then I will immediately split his head into seven pieces.” Both the Blessed One and Saccaka saw the spirit Vajirapāṇi. Then Saccaka was frightened, terrified, with his hair standing on end. Seeking protection in the Blessed One, seeking safety in the Blessed One, seeking refuge in the Blessed One, he said to the Blessed One, “Let Sir Gotama ask me; I will answer.”
“What do you think, Aggivessana? You say ‘The body is my self.’ Do you exercise control in that body, determining ‘May my body be like this, may my body not be like that’?” “Certainly not, Sir Gotama.”
“Pay attention, Aggivessana; answer after paying attention, Aggivessana. What you said before does not connect with what you said afterwards, nor what you said afterwards with what you said before.
“What do you think, Aggivessana? You say ‘Feelings are my self… recognition is my self… thoughts are my self… consciousness is my self.’ Do you exercise control in that consciousness, determining ‘May my consciousness be like this, may my consciousness not be like that’?” “Certainly not, Sir Gotama.”
“Pay attention, Aggivessana; answer after paying attention, Aggivessana. What you said before does not connect with what you said afterwards, nor what you said afterwards with what you said before.
“What do you think, Aggivessana? Is the body permanent or impermanent?”
“Impermanent, Sir Gotama.”
“Is that which is impermanent a source of suffering or a source of happiness?”
“A source of suffering, Sir Gotama.”
“Is it appropriate to regard that which is impermanent, a source of suffering, and subject to alteration11 as ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“Certainly not, Sir Gotama.”
“What do you think, Aggivessana? Are feelings… recognition… thoughts… consciousness permanent or impermanent?”
“Impermanent, Sir Gotama.”
“Is that which is impermanent a source of suffering or a source of happiness?”
“A source of suffering, Sir Gotama.”
“Is it appropriate to regard that which is impermanent, a source of suffering, and subject to alteration as ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“Certainly not, Sir Gotama.”
“What do you think, Aggivessana? If someone adheres to a source of suffering, stays close to a source of suffering, clings to a source of suffering, and regards a source of suffering as ‘This is mine, I am this, this is my self,’ could he personally understand suffering, or abide having completely discarded suffering?”
“How could it be so, Sir Gotama? Certainly not, Sir Gotama.”
“What do you think, Aggivessana? Are you not the same – one who adheres to a source of suffering, stays close to a source of suffering, clings to a source of suffering, and regards a source of suffering as ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“How could it not be so, Sir Gotama? It is just like that, Sir Gotama.”
“Aggivessana, it is just as if a man who needs heartwood, who seeks heartwood, who travels in search of heartwood, were to take a sharp axe and enter a forest. There he might see a large banana-tree, straight, young, and healthy12. He might cut it down at the base, chop off the top, and separate the leaf-rolls. While separating the leaf-rolls, he would not even find sapwood, let alone heartwood. In the same way, Aggivessana, while being examined, investigated, and interrogated about my own doctrine, you are found to be empty and hollow – a failure. However, Aggivessana, at the assembly in Vesāli you said ‘I do not see any contemplative or holy man, a leader of a community, a teacher of a group, even one claiming to be a fully enlightened Arahant, who would not tremble, quiver, shake, and emit sweat from their armpits when engaged in debate with me. Even if I were to engage a senseless post in debate, it would tremble, quiver, and shake when engaged in debate with me. What can be said of a human being?’ But, Aggivessana, it is on your forehead that there is sweat, and it has soaked through your upper robe and landed on the ground. But, Aggivessana, there is no sweat on my body at this time.” And the Blessed One revealed his golden-colored body in that assembly. When this was said, Saccaka sat silent, ashamed, with shoulders slumped, with face downcast, sulking and unresponsive.
Then Dummukha13 the Licchavi, after recognizing that Saccaka was silent, ashamed, with shoulders slumped, with face downcast, sulking and unresponsive, said to the Blessed One, “Blessed One, a similar occurs to me.” “Then let it occur, Dummukha,” the Blessed One said. “Bhante, it is just as if there was a pond not far from a village or town, where there was a crab. Then, Bhante, several young boys or girls went out from that village or town and approached the pond; after approaching and plunging into the pond, they took the crab out of the water and placed it on dry land. Bhante, wherever that crab extended a limb, the boys or girls would use a stick or stone to cut it off, break it, crush it. Bhante, when all the crab‘s limbs had been cut off, broken, and crushed in this way, it is not possible for it to enter the pond again, as it did before. In the same way, Bhante, all of Saccaka‘s distortions, writhings, and vacillations have been cut off, broken, and crushed by the Blessed One. Bhante, now it is impossible for Saccaka to approach the Blessed One again with the intention of debate.” When this was said, Saccaka said to Dummukha the Licchavi, “Wait, Dummukha, wait, Dummukha. We do not speak with you, we speak with Sir Gotama.
“Sir Gotama, let us set aside those statements of ours and of other, ordinary contemplatives and holy men. I think it was just idle talk. How does one abide as one who implements the Blessed One‘s teachings, one who acts in accordance with his exhortations, one who has overcome doubt, one who is free of perplexity, one who has attained intrepidity, one who is not dependent on another in the Teacher‘s dispensation?”
“Here, Aggivessana, whatever body there is – past, future, present, internal or external, coarse or subtle, inferior or superior, whether far or near – my disciple sees the entire body14 as it is with correct wisdom in this way: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ Whatever feelings… recognition… thoughts… consciousness there is – past, future, present, internal or external, coarse or subtle, inferior or superior, whether far or near – my disciple sees all consciousness as it is with correct wisdom in this way: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ Aggivessana, it is in this way that one abides as one who implements the Blessed One‘s teachings, one who acts in accordance with his exhortations, one who has overcome doubt, one who is free of perplexity, one who has attained intrepidity, one who is not dependent on another in the Teacher‘s dispensation.
“Sir Gotama, how is a monk an Arahant – one who has destroyed the taints, lived perfectly, done what was to be done, laid down the burden, reached the true goal15, completely destroyed the fetter of existence, and has been liberated by right knowledge?”
“Here, Aggivessana, whatever body… feelings… recognition… thoughts… consciousness there is – past, future, present, internal or external, coarse or subtle, inferior or superior, whether far or near – a monk sees all consciousness as it is with correct wisdom in this way: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self,’ and is liberated by non-clinging. Aggivessana, it is in this way that a monk is an Arahant – one who has destroyed the taints, lived perfectly, done what was to be done, laid down the burden, reached the true goal, completely destroyed the fetter of existence, and has been liberated by right knowledge. Aggivessana, a monk whose mind is liberated in this way is endowed with three unsurpassables – unsurpassable vision, unsurpassable practice, and unsurpassable liberation. Aggivessana, a monk whose mind is liberated in this way esteems, respects, honors, and reveres only the Tathāgata, thinking ‘Himself awakened, the Blessed One teaches Dhamma for the sake of awakening; himself trained, the Blessed One teaches the Dhamma for the sake of training; himself tranquil16, the Blessed One teaches Dhamma for the sake of tranquility; himself crossed over17, the Blessed One teaches Dhamma for the sake of crossing over; himself completely enlightened18, the Blessed One teaches Dhamma for the sake of complete enlightenment.’”
When this was said, Saccaka said to the Blessed One, “Sir Gotama, we were offensive, we were impudent, in that we thought to assault Sir Gotama with words. Sir Gotama, a man might be safe after assaulting a furious elephant, but a man is not safe after assaulting Sir Gotama. Sir Gotama, a man might be safe after assaulting a blazing bonfire, but a man is not safe after assaulting Sir Gotama. Sir Gotama, a man might be safe after assaulting a poisonous snake of terrible venom, but a man is not safe after assaulting Sir Gotama. Sir Gotama, we were offensive, we were impudent, in that we thought to assault Sir Gotama with words. May Sir Gotama consent to a meal from me tomorrow, together with the community of monks.” The Blessed One consented in silence.
Then, after understanding the Blessed One‘s consent, Saccaka addressed the Licchavis: “May the Licchavi gentlemen hear me! The contemplative Gotama has been invited by me for tomorrow‘s meal, together with the community of monks. Therefore, you may bring to me whatever you think is appropriate.” Then, at the end of the night, those Licchavis brought about five hundred pots of food to Saccaka. Then Saccaka had many kinds of excellent food prepared in his own monastery, and had the time announced to the Blessed One: “Sir Gotama, it is time; the meal is prepared.” Then the Blessed One, after dressing in the morning and taking his bowl and robe, approached Saccaka‘s monastery; after approaching, he sat on the designated seat, together with the community of monks. Then Saccaka served and satisfied the community of monks headed by the Blessed One with many kinds of excellent food, using his own hands. Then, when the Blessed One had finished his meal and washed his bowl and hand, Saccaka took a low seat and sat to one side. When he was seated to one side, Saccaka said to the Blessed One, “Sir Gotama, may the merit of this giving lead to the happiness of the donors.” “Aggivessana, what merit comes from giving to one like you, who is not free of passion, aversion, and delusion – that merit will be for the donors. Aggivessana, what merit comes from giving to one like me, who is free of passion, aversion and delusion – that merit will be for you.”