ธรรมปริยายที่เป็นไปในส่วนแห่งการเจาะแทงกิเลส (นิพเพธิกสูตร)
ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมปริยายชื่อนิพเพธิกปริยาย (ที่เป็นปริยายเป็นไปในส่วนแห่งการเจาะแทงกิเลส) แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมปริยายที่ชื่อนิพเพธิกปริยาย เป็นอย่างไร คือ ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกาม เหตุเกิดของกาม ความต่างกันของกาม วิบาก (ผล) ของกาม ความดับของกาม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของกาม.
เธอทั้งหลายพึงทราบเวทนา[๑] เหตุเกิดของเวทนา ความต่างกันของเวทนา วิบากของเวทนา ความดับของเวทนา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของเวทนา.
เธอทั้งหลายพึงทราบสัญญา[๒] เหตุเกิดของสัญญา ความต่างกันของสัญญา วิบากของสัญญา ความดับของสัญญา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของสัญญา.
เธอทั้งหลายพึงทราบอาสวะ[๓] เหตุเกิดของอาสวะ ความต่างกันของอาสวะ วิบากของอาสวะ ความดับของอาสวะ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของอาสวะ.
เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม เหตุเกิดของกรรม ความต่างกันของกรรม วิบากของกรรม ความดับของกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของกรรม.
เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์ เหตุเกิดของทุกข์ ความต่างกันของทุกข์ วิบากของทุกข์ ความดับของทุกข์ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของทุกข์.
[๑] ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกาม เหตุเกิดของกาม ความต่างกันของกาม วิบากของกาม ความดับของกาม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของกาม ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย กามคุณ[๔] ๕ อย่างเหล่านี้ ๕ อย่างอะไรบ้าง คือ รูปที่เห็นด้วยตา อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นที่ยั่วยวนชวนให้รัก เป็นที่อาศัยแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงที่ได้ยินด้วยหู … กลิ่นที่รู้สึกด้วยจมูก … รสที่รู้สึกด้วยลิ้น … โผฏฐัพพะที่รู้สึกด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นที่ยั่วยวนชวนให้รัก เป็นที่อาศัยแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ภิกษุทั้งหลาย (แต่) สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กาม ในอริยวินัยเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า กามคุณ.
ความกำหนัด[๕]ไปตามอำนาจความตริตรึก นั่นแหละคือกามของคนเรา[๖]
อารมณ์อันวิจิตรทั้งหลายในโลกนั้น หาใช่กามไม่.
ความกำหนัดไปตามอำนาจความตริตรึก นั่นแหละคือกามของคนเรา
อารมณ์อันวิจิตร ก็มีอยู่ในโลก ตามประสาของมันเท่านั้น.
ดังนั้น ผู้มีปัญญาจึงนำออกเสียซึ่งฉันทะ[๗] ในอารมณ์อันวิจิตรเหล่านั้น ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเกิดของกามเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ผัสสะเป็นเหตุเกิดของกาม.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างกันของกามเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย กามในรูปก็เป็นอย่างหนึ่ง กามในเสียงก็เป็นอย่างหนึ่ง กามในกลิ่นก็เป็นอย่างหนึ่ง กามในรสก็เป็นอย่างหนึ่ง กามในโผฏฐัพพะก็เป็นอย่างหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความต่างกันของกาม.
ภิกษุทั้งหลาย ก็วิบากของกามเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีกามใดอยู่ ย่อมทำอัตภาพ[๘]ซึ่งเกิดจากกามนั้นๆ ให้เกิดขึ้น เป็นฝ่ายบุญก็ตาม หรือเป็นฝ่ายไม่ใช่บุญก็ตาม ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าวิบากของกาม.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับของกามเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ความดับของกามย่อมมี เพราะความดับของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของกามเป็นอย่างไร คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการเหล่านี้ เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของกาม นั่นคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดอริยสาวกย่อมรู้ชัดกามอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเกิดของกามอย่างนี้ รู้ชัดความต่างกันของกามอย่างนี้ รู้ชัดวิบากของกามอย่างนี้ รู้ชัดความดับของกามอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของกามอย่างนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการเจาะแทงกิเลส อันเป็นที่ดับของกามนี้ ข้อที่เรากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกาม เหตุเกิดของกาม ความต่างกันของกาม วิบากของกาม ความดับของกาม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของกามดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.
[๒] ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบเวทนา เหตุเกิดของเวทนา ความต่างกันของเวทนา วิบากของเวทนา ความดับของเวทนา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของเวทนา ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ ประการเหล่านี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเกิดของเวทนาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ผัสสะเป็นเหตุเกิดของเวทนา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างกันของเวทนาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สุขเวทนาที่เจือด้วยอามิสก็มี สุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสก็มี ทุกขเวทนาที่เจือด้วยอามิสก็มี ทุกขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสก็มี อทุกขมสุขเวทนาที่เจือด้วยอามิสก็มี อทุกขมสุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสก็มี ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความต่างกันของเวทนา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็วิบากของเวทนาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้รับเวทนาใดอยู่ ย่อมทำอัตภาพ[๙]ซึ่งเกิดจากเวทนานั้นๆ ให้เกิดขึ้น เป็นฝ่ายบุญก็ตาม หรือเป็นฝ่ายไม่ใช่บุญก็ตาม ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าวิบากของเวทนา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับของเวทนาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ความดับของเวทนาย่อมมี เพราะความดับของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของเวทนาเป็นอย่างไร คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการเหล่านี้ เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของเวทนา นั่นคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดอริยสาวกย่อมรู้ชัดเวทนาอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเกิดของเวทนาอย่างนี้ รู้ชัดความต่างกันของเวทนาอย่างนี้ รู้ชัดวิบากของเวทนาอย่างนี้ รู้ชัดความดับของเวทนาอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของเวทนาอย่างนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการเจาะแทงกิเลส อันเป็นที่ดับของเวทนานี้ ข้อที่เรากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบเวทนา เหตุเกิดของเวทนา ความต่างกันของเวทนา วิบากของเวทนา ความดับของเวทนา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของเวทนาดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.
[๓] ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบสัญญา เหตุเกิดของสัญญา ความต่างกันของสัญญา วิบากของสัญญา ความดับของสัญญา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของสัญญา ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย สัญญา ๖ ประการเหล่านี้ คือ รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธัมมสัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเกิดของสัญญาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ผัสสะเป็นเหตุเกิดของสัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างกันของสัญญาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัญญาในรูปก็เป็นอย่างหนึ่ง สัญญาในเสียงก็เป็นอย่างหนึ่ง สัญญาในกลิ่นก็เป็นอย่างหนึ่ง สัญญาในรสก็เป็นอย่างหนึ่ง สัญญาในโผฏฐัพพะก็เป็นอย่างหนึ่ง สัญญาในธรรมก็เป็นอย่างหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความต่างกันของสัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็วิบากของสัญญาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสัญญามีคำพูดเป็นผล (เพราะว่า) บุคคลมีการรับรู้[๑๐]อย่างใดๆ ย่อมพูดไปตามการรับรู้โดยประการนั้นๆ ว่า เราเป็นผู้มีสัญญาอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าวิบากของสัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับของสัญญาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ความดับของสัญญาย่อมมี เพราะความดับของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของสัญญาเป็นอย่างไร คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการเหล่านี้ เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของสัญญา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดอริยสาวกย่อมรู้ชัดสัญญาอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเกิดของสัญญาอย่างนี้ รู้ชัดความต่างกันของสัญญาอย่างนี้ รู้ชัดวิบากของสัญญาอย่างนี้ รู้ชัดความดับของสัญญาอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของสัญญาอย่างนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการเจาะแทงกิเลส อันเป็นที่ดับของสัญญานี้ ข้อที่เรากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบสัญญา เหตุเกิดของสัญญา ความต่างกันของสัญญา วิบากของสัญญา ความดับของสัญญา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของสัญญาดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.
[๔] ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบอาสวะ เหตุเกิดของอาสวะ ความต่างกันของอาสวะ วิบากของอาสวะ ความดับของอาสวะ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของอาสวะ ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย อาสวะ ๓ ประการเหล่านี้ คือ กามาสวะ (อาสวะคือกาม) ภวาสวะ (อาสวะคือภพ) อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา).
ภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเกิดของอาสวะเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อวิชชาเป็นเหตุเกิดของอาสวะ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างกันของอาสวะเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่เป็นเหตุให้ไปสู่นรกก็มี อาสวะที่เป็นเหตุให้ไปสู่กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี อาสวะที่เป็นเหตุให้ไปสู่เปรตวิสัยก็มี อาสวะที่เป็นเหตุให้ไปสู่มนุษย์โลกก็มี อาสวะที่เป็นเหตุให้ไปสู่เทวโลกก็มี ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความต่างกันของอาสวะ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็วิบากของอาสวะเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย การที่บุคคลมีอวิชชา ย่อมทำอัตภาพที่เกิดจากอวิชชานั้นๆ ให้เกิดขึ้น เป็นฝ่ายบุญก็ตาม หรือเป็นฝ่ายไม่ใช่บุญก็ตาม ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าวิบากของอาสวะ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับของอาสวะเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ความดับของอาสวะย่อมมี เพราะความดับของอวิชชา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของอาสวะเป็นอย่างไร คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการเหล่านี้ เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของอาสวะ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดอริยสาวกย่อมรู้ชัดอาสวะอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเกิดของอาสวะอย่างนี้ รู้ชัดความต่างกันของอาสวะอย่างนี้ รู้ชัดวิบากของอาสวะอย่างนี้ รู้ชัดความดับของอาสวะอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของอาสวะอย่างนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการเจาะแทงกิเลส อันเป็นที่ดับของอาสวะนี้ ข้อที่เรากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบอาสวะ เหตุเกิดของอาสวะ ความต่างกันของอาสวะ วิบากของอาสวะ ความดับของอาสวะ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของอาสวะดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.
[๕] ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างกันแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม (เพราะ) บุคคลเจตนา[๑๑]แล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นอย่างไร คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างกันแห่งกรรมเป็นอย่างไร คือ กรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี กรรมที่ให้วิบากในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานก็มี กรรมที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี กรรมที่ให้วิบากในมนุษย์โลกก็มี กรรมที่ให้วิบากในเทวโลกก็มี ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความต่างกันแห่งกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ก็วิบากแห่งกรรมเป็นอย่างไร คือ เราย่อมกล่าววิบากแห่งกรรมว่ามี ๓ ประการ คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน กรรมที่ให้ในเวลาอุบัติ กรรมที่ให้ผลในเวลาถัดต่อๆ ไปอีก ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าวิบากแห่งกรรม
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับแห่งกรรมเป็นอย่างไร คือ ความดับแห่งกรรมย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรมเป็นอย่างไร คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการเหล่านี้ เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดอริยสาวกย่อมรู้ชัดกรรมอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเกิดแห่งกรรมอย่างนี้ รู้ชัดความต่างกันแห่งกรรมอย่างนี้ รู้ชัดวิบากแห่งกรรมอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งกรรมอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรมอย่างนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการเจาะแทงกิเลส อันเป็นที่ดับแห่งกรรมนี้ ข้อที่เรากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างกันแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรมดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.
[๖] ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์ เหตุเกิดของทุกข์ ความต่างกันของทุกข์ วิบากของทุกข์ ความดับของทุกข์ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของทุกข์ ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความเศร้าโศก ความร่ำไรร่ำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ[๑๒]เป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดแล้ว ไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ กล่าวโดยสรุปแล้ว อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเกิดของทุกข์เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ตัณหาเป็นเหตุเกิดของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างกันของทุกข์เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ที่มีประมาณยิ่งมีอยู่ ที่มีประมาณเล็กน้อยมีอยู่ ที่คลายช้ามีอยู่ และที่คลายเร็วมีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความต่างกันของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ก็วิบากของทุกข์เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ ถูกความทุกข์ใดครอบงำแล้ว มีจิตถูกความทุกข์กลุ้มรุมแล้ว ย่อมโศกเศร้า ย่อมระทมใจ คร่ำครวญ ทุบอกร่ำไห้ ย่อมถึงความหลงใหล หรือว่า ถูกความทุกข์ใดครอบงำแล้ว มีจิตถูกความทุกข์กลุ้มรุมแล้ว ย่อมถึงการแสวงหาที่พึ่งภายนอกว่า ใครหนอย่อมรู้วิธีเพื่อดับความทุกข์นี้ได้ สักหนึ่ง หรือสองวิธี ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ความทุกข์มีความหลงใหลเป็นผล หรือมีการแสวงหาที่พึ่งภายนอกเป็นผล ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าวิบากของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับของทุกข์เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ความดับของทุกข์ย่อมมี เพราะความดับของตัณหา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของทุกข์เป็นอย่างไร คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการเหล่านี้ เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของทุกข์ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดอริยสาวกย่อมรู้ชัดทุกข์อย่างนี้ รู้ชัดเหตุเกิดของทุกข์อย่างนี้ รู้ชัดความต่างกันของทุกข์อย่างนี้ รู้ชัดวิบากของทุกข์อย่างนี้ รู้ชัดความดับของทุกข์อย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของทุกข์อย่างนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการเจาะแทงกิเลส อันเป็นที่ดับของทุกข์นี้ ข้อที่เรากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์ เหตุเกิดของทุกข์ ความต่างกันของทุกข์ วิบากของทุกข์ ความดับของทุกข์ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับของทุกข์ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายที่ชื่อนิพเพธิกปริยาย เป็นอย่างนี้แล.
บาลี ฉกฺก. อํ. 22/458/334.
https://84000.org/tipitaka/pali/?22//458,
https://etipitaka.com/read/pali/22/458
[๑] เวทนา คำนี้ในภาษาไทยออกเสียงได้ ๒ แบบ คือ เว-ทะ-นา อย่างนี้หมายถึง ความรู้สึก และ เวด-ทะ-นา อย่างนี้หมายถึง สังเวชสลดใจ.
[๒] สัญญา = ความจำได้, การหมายรู้.
[๓] อาสวะ = สุรา, น้ำคั้นที่ทำให้มึนเมา หรือน้ำดองของต้นไม้หรือดอกไม้, น้ำหนองจากแผลฝี, สิ่งทำจิตใจให้มึนเมา.
[๔] กามคุณ = เครื่องผูกในกาม, เครื่องพัวพันในกาม, เครื่องผูกพันคือกาม, กามเป็นเครื่องพัวพัน.
[๕] ความกำหนัด ศัพท์บาลี คือ ราคะ คำว่า ราคะนี้ ยังมีความหมายอื่นได้อีก เช่น ความยินดี ส่วนในพจนานุกรมภาษาไทย คำว่า ความกำหนัด หมายถึง ความใคร่ในกามคุณ และคำว่า ใคร่ หมายถึง อยาก, ต้องการ, ปรารถนา, ใฝ่.
[๖] สำนวนแปลนี้ ใช้จากชุดธรรมะจากพระโอษฐ์ของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ซึ่งแปลจากคำบาลีว่า สงฺกปฺปราโค ปุริสสฺส กาโม โดยคำว่า ปุริส ปกติมักจะหมายถึงบุรุษ แต่ก็ยังมีความหมายอื่นได้อีก เช่น บุคคล หรือผู้ที่เป็นคน.
[๗] ฉันทะ = ความพอใจ, ความรักใคร่, ความปรารถนา.
[๘] อัตภาพ สามารถพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ การเกิดใหม่หลังจากตายแล้ว ดังที่ทราบกันอยู่ หรืออัตภาพปัจจุบันของเขานั้นเกิดเปลี่ยนเป็นบุญหรือบาป ตามสมควรแก่เขาโดยที่ยังไม่ต้องตาย ทั้งนี้แล้วแต่ผู้ศึกษาจะถือเอาความหมายไหน.
[๙] อัตภาพ สามารถพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ การเกิดใหม่หลังจากตายแล้ว ดังที่ทราบกันอยู่ หรืออัตภาพปัจจุบันของเขานั้นเกิดเปลี่ยนเป็นบุญหรือบาป ตามสมควรแก่เขาโดยที่ยังไม่ต้องตาย ทั้งนี้แล้วแต่ผู้ศึกษาจะถือเอาความหมายไหน.
[๑๐] คำว่า รับรู้ในที่นี้ มาจากศัพท์บาลีว่า สญฺชานาติ ซึ่งสามารถแปลเป็นอย่างอื่นได้อีก เช่น หมายรู้, รับรู้, จำได้, เข้าใจ, ทราบ หรือในความหมายของภาษาอังกฤษ คือ to recognize, perceive, know, to be aware, comprehend.
[๑๑] เจตนา = ความตั้งใจ, ความจงใจ, ความมุ่งหมาย, ความคิด
[๑๒] หรือที่คุ้นเคยกันก็คือ โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส.