ลักษณะของอสัปบุรุษ และลักษณะของสัปบุรุษ
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของมิคารมาตา ในบุพพาราม เขตนครสาวัตถี สมัยนั้น เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ คืนพระจันทร์เต็มดวง พระผู้มีพระภาคทรงมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งในที่แจ้ง ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคมองดูภิกษุสงฆ์ซึ่งนั่งสงบเงียบอยู่โดยลำดับ จึงตรัสถามว่า
ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษจะพึงรู้จักอสัปบุรุษหรือไม่ว่า ผู้นี้เป็นอสัปบุรุษ.
ภิกษุเหล่านั้นทูลตอบว่า ไม่รู้เลย ภันเต.
ถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย นั่นไม่ใช่ฐานะ นั่นไม่ใช่โอกาส ที่อสัปบุรุษจะพึงรู้จักอสัปบุรุษว่า ผู้นี้เป็นอสัปบุรุษ.
ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษจะพึงรู้จักสัปบุรุษหรือไม่ว่า ผู้นี้เป็นสัปบุรุษ.
ไม่รู้เลย ภันเต.
ถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย นั่นไม่ใช่ฐานะ นั่นไม่ใช่โอกาส ที่อสัปบุรุษจะพึงรู้จักสัปบุรุษว่า ผู้นี้เป็นสัปบุรุษ.
ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยอสัทธรรม1 มีความภักดีต่ออสัปบุรุษ มีความคิดอย่างอสัปบุรุษ มีความรู้อย่างอสัปบุรุษ มีถ้อยคำอย่างอสัปบุรุษ มีการกระทำอย่างอสัปบุรุษ มีความเห็นอย่างอสัปบุรุษ มีการให้ทานอย่างอสัปบุรุษ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อสัปบุรุษเป็นผู้ประกอบด้วยอสัทธรรม เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษในกรณีนี้ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ มีสุตะน้อย เกียจคร้าน มีสติหลงลืม มีปัญญาทราม ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษเป็นผู้ประกอบด้วยอสัทธรรม เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อสัปบุรุษเป็นผู้ภักดีต่ออสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษในกรณีนี้ มีสมณพราหมณ์ผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ มีสุตะน้อย เกียจคร้าน มีสติหลงลืม มีปัญญาทราม เป็นมิตร เป็นสหาย ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษเป็นผู้ภักดีต่ออสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อสัปบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษในกรณีนี้ ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อสัปบุรุษเป็นผู้มีความรู้อย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษในกรณีนี้ ย่อมรู้เพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมรู้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ย่อมรู้เพื่อเบียดเบียนทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษเป็นผู้มีความรู้อย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อสัปบุรุษเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษในกรณีนี้ มักพูดเท็จ มักพูดส่อเสียด (พูดยุยงให้แตกกัน) มักพูดคำหยาบ มักพูดเพ้อเจ้อ ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อสัปบุรุษเป็นผู้มีการกระทำอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษในกรณีนี้ มักฆ่าสัตว์ มักถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ มักประพฤติผิดในกาม ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษเป็นผู้มีการกระทำอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อสัปบุรุษเป็นผู้มีทิฏฐิอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษในกรณีนี้ เป็นผู้มีทิฏฐิ (ความเห็น) อย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้วไม่มี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วก็ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยถูกต้อง ปฏิบัติโดยถูกต้อง ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามไม่มี ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษเป็นผู้มีทิฏฐิอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อสัปบุรุษเป็นผู้ให้ทานอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษในกรณีนี้ ให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ทานด้วยมือของตน ไม่ให้ทานด้วยความอ่อนน้อม ให้ทานด้วยของที่ทิ้งแล้ว ให้ทานโดยไม่คำนึงผลที่จะมาถึง ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษเป็นผู้ให้ทานอย่างอสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย อสัปบุรุษนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยอสัทธรรมอย่างนี้ มีความภักดีต่ออสัปบุรุษอย่างนี้ มีความคิดอย่างอสัปบุรุษอย่างนี้ มีความรู้อย่างอสัปบุรุษอย่างนี้ มีถ้อยคำอย่างอสัปบุรุษอย่างนี้ มีการกระทำอย่างอสัปบุรุษอย่างนี้ มีความเห็นอย่างอสัปบุรุษอย่างนี้ ให้ทานอย่างอสัปบุรุษอย่างนี้แล้ว ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย ย่อมบังเกิดในคติของอสัปบุรุษ ภิกษุทั้งหลาย ก็คติของอสัปบุรุษ คืออะไร คือ นรก หรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน.
ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษจะพึงรู้จักสัปบุรุษหรือไม่ว่า ผู้นี้เป็นสัปบุรุษ.
ภิกษุเหล่านั้นทูลตอบว่า รู้จัก ภันเต.
ถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย นั่นเป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ที่สัปบุรุษจะพึงรู้จักสัปบุรุษว่า ผู้นี้เป็นสัปบุรุษ.
ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษจะพึงรู้จักอสัปบุรุษหรือไม่ว่า ผู้นี้เป็นอสัปบุรุษ.
รู้จัก ภันเต.
ถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย นั่นเป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ที่สัปบุรุษพึงรู้จักอสัปบุรุษว่า ผู้นี้เป็นอสัปบุรุษ.
ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยสัทธรรม2 มีความภักดีต่อสัปบุรุษ มีความคิดอย่างสัปบุรุษ มีความรู้อย่างสัปบุรุษ มีถ้อยคำอย่างสัปบุรุษ มีการกระทำอย่างสัปบุรุษ มีทิฏฐิอย่างสัปบุรุษ มีการให้ทานอย่างสัปบุรุษ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็สัปบุรุษเป็นผู้ประกอบด้วยสัทธรรม เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษในกรณีนี้ เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสุตะมาก ปรารภความเพียร มีสติตั้งมั่น มีปัญญา ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเป็นผู้ประกอบด้วยสัทธรรม เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็สัปบุรุษเป็นผู้ภักดีต่อสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษในกรณีนี้ มีสมณพราหมณ์ผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสุตะมาก ปรารภความเพียร มีสติตั้งมั่น มีปัญญา เป็นมิตร เป็นสหาย ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเป็นผู้ภักดีต่อสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็สัปบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษในกรณีนี้ ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็สัปบุรุษเป็นผู้มีความรู้อย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษในกรณีนี้ ย่อมรู้เพื่อไม่เบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมรู้เพื่อไม่เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ย่อมรู้เพื่อไม่เบียดเบียนทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเป็นผู้มีความรู้อย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็สัปบุรุษเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษในกรณีนี้ เป็นผู้งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็สัปบุรุษเป็นผู้มีการกระทำอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษในกรณีนี้ เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเป็นผู้มีการกระทำอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็สัปบุรุษเป็นผู้มีทิฏฐิอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษในกรณีนี้ เป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้วมี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วมี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วมี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี โลกนี้มี โลกอื่นมี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยถูกต้อง ปฏิบัติโดยถูกต้อง ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามก็มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเป็นผู้มีทิฏฐิอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ก็สัปบุรุษเป็นผู้ให้ทานอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษในกรณีนี้ ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความอ่อนน้อม ให้ทานด้วยของที่ใช้ได้3 ให้ทานโดยคำนึงผลที่จะมาถึง ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษเป็นผู้ให้ทานอย่างสัปบุรุษ เป็นอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย สัปบุรุษนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยสัทธรรมอย่างนี้ มีความภักดีต่อสัปบุรุษอย่างนี้ มีความคิดอย่างสัปบุรุษอย่างนี้ มีความรู้อย่างสัปบุรุษอย่างนี้ มีถ้อยคำอย่างสัปบุรุษอย่างนี้ มีการกระทำอย่างสัปบุรุษอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างสัปบุรุษอย่างนี้ ให้ทานอย่างสัปบุรุษอย่างนี้แล้ว ภายหลังจากการตาย เพราะกายแตกทำลาย ย่อมบังเกิดในคติของสัปบุรุษ ภิกษุทั้งหลาย ก็คติของสัปบุรุษ คืออะไร คือ ความเป็นใหญ่ในเทวดา หรือความเป็นใหญ่ในมนุษย์.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้.
-บาลี อุปริ. ม. 14/109/130.
https://84000.org/tipitaka/pali/?22//95,
https://etipitaka.com/read/pali/22/95
1 อสัทธรรม = ธรรมฝ่ายต่ำ, ธรรมที่ไม่ดี.
2 สัทธรรม = ธรรมที่ถูกต้อง, ธรรมที่ดีเลิศ.
3 แปลตามพระไตรปิฎกฉบับมอญ ซึ่งศัพท์บาลี คือ อนุปวิฏฺ โดยเนื้อหาส่วนนี้ มีความคล้ายคลึงกับเนื้อหาที่ปรากฏในเวลามสูตร.
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in the Eastern Monastery, the stilt longhouse of Migāra’s mother.
Now, at that time it was the sabbath—the full moon on the fifteenth day—and the Buddha was sitting in the open surrounded by the Saṅgha of monks. Then the Buddha looked around the Saṅgha of mendicants, who were so very silent. He addressed them, “Mendicants, could an untrue person know of an untrue person: ‘This fellow is an untrue person’?”
“No, sir.”
“Good, mendicants! It’s impossible, it can’t happen, that an untrue person could know of an untrue person: ‘This fellow is an untrue person.’ But could an untrue person know of a true person: ‘This fellow is a true person’?”
“No, sir.”
“Good, mendicants! That too is impossible. A untrue person has bad qualities, associates with untrue persons, and has the intentions, counsel, speech, actions, views, and giving of an untrue person.
And how does an untrue person have bad qualities? It’s when an untrue person is faithless, shameless, imprudent, unlearned, lazy, unmindful, and witless. That’s how an untrue person has bad qualities.
And how does an untrue person associate with untrue persons? It’s when an untrue person is a friend and companion of ascetics and brahmins who are faithless, shameless, imprudent, unlearned, lazy, unmindful, and witless. That’s how an untrue person associates with untrue persons.
And how does an untrue person have the intentions of an untrue person? It’s when an untrue person intends to hurt themselves, hurt others, and hurt both. That’s how an untrue person has the intentions of an untrue person.
And how does an untrue person offer the counsel of an untrue person? It’s when an untrue person offers counsel that hurts themselves, hurts others, and hurts both. That’s how an untrue person offers the counsel of an untrue person.
And how does an untrue person have the speech of an untrue person? It’s when an untrue person uses speech that’s false, divisive, harsh, and nonsensical. That’s how an untrue person has the speech of an untrue person.
And how does an untrue person have the action of an untrue person? It’s when an untrue person kills living creatures, steals, and commits sexual misconduct. That’s how an untrue person has the actions of an untrue person.
And how does an untrue person have the view of an untrue person? It’s when an untrue person has such a view: ‘There’s no meaning in giving, sacrifice, or offerings. There’s no fruit or result of good and bad deeds. There’s no afterlife. There’s no such thing as mother and father, or beings that are reborn spontaneously. And there’s no ascetic or brahmin who is rightly comported and rightly practiced, and who describes the afterlife after realizing it with their own insight.’ That’s how an untrue person has the view of an untrue person.
And how does an untrue person give the gifts of an untrue person? It’s when an untrue person gives a gift carelessly, not with their own hand, and thoughtlessly. They give the dregs, and they give without consideration for consequences. That’s how an untrue person gives the gifts of an untrue person.
That untrue person—who has such bad qualities, frequents untrue persons, and has the intentions, counsel, speech, actions, views, and giving of an untrue person—when their body breaks up, after death, is reborn in the place where untrue persons are reborn. And what is the place where untrue persons are reborn? Hell or the animal realm.
Mendicants, could a true person know of a true person: ‘This fellow is a true person’?”
“Yes, sir.”
“Good, mendicants! It is possible that a true person could know of a true person: ‘This fellow is a true person.’ But could a true person know of an untrue person: ‘This fellow is an untrue person’?”
“Yes, sir.”
“Good, mendicants! That too is possible. A true person has good qualities, associates with true persons, and has the intentions, counsel, speech, actions, views, and giving of a true person.
And how does a true person have good qualities? It’s when a true person is faithful, conscientious, prudent, learned, energetic, mindful, and wise. That’s how a true person has good qualities.
And how does a true person associate with true persons? It’s when a true person is a friend and companion of ascetics and brahmins who are faithful, conscientious, prudent, learned, energetic, mindful, and wise. That’s how a true person associates with true persons.
And how does a true person have the intentions of a true person? It’s when a true person doesn’t intend to hurt themselves, hurt others, and hurt both. That’s how a true person has the intentions of a true person.
And how does a true person offer the counsel of a true person? It’s when a true person offers counsel that doesn’t hurt themselves, hurt others, and hurt both. That’s how a true person offers the counsel of a true person.
And how does a true person have the speech of a true person? It’s when a true person refrains from speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical. That’s how a true person has the speech of a true person.
And how does a true person have the action of a true person? It’s when a true person refrains from killing living creatures, stealing, and committing sexual misconduct. That’s how a true person has the action of a true person.
And how does a true person have the view of a true person? It’s when a true person has such a view: ‘There is meaning in giving, sacrifice, and offerings. There are fruits and results of good and bad deeds. There is an afterlife. There are such things as mother and father, and beings that are reborn spontaneously. And there are ascetics and brahmins who are rightly comported and rightly practiced, and who describe the afterlife after realizing it with their own insight.’ That’s how a true person has the view of a true person.
And how does a true person give the gifts of a true person? It’s when a true person gives a gift carefully, with their own hand, and thoughtfully. They don’t give the dregs, and they give with consideration for consequences. That’s how a true person gives the gifts of a true person.
That true person—who has such good qualities, associates with true persons, and has the intentions, counsel, speech, actions, views, and giving of a true person—when their body breaks up, after death, is reborn in the place where true persons are reborn. And what is the place where true persons are reborn? A state of greatness among gods or humans.”
That is what the Buddha said. Satisfied, the mendicants approved what the Buddha said.