เหตุที่เรียกว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เมื่อระลึก ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น ก็ย่อมระลึกถึงอุปาทานขันธ์ ๕ หรือขันธ์ใดขันธ์หนึ่งแห่งอุปาทานขันธ์ อุปาทานขันธ์ ๕ อะไรบ้าง คือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อระลึก ย่อมระลึกถึงรูปดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีรูปอย่างนี้ เมื่อระลึก ย่อมระลึกถึงเวทนาดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีเวทนาอย่างนี้ เมื่อระลึก ย่อมระลึกถึงสัญญาดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีสัญญาอย่างนี้ เมื่อระลึก ย่อมระลึกถึงสังขารดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีสังขารอย่างนี้ เมื่อระลึก ย่อมระลึกถึงวิญญาณดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีวิญญาณอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่ารูป เพราะแตกสลาย ดังนั้นจึงเรียกว่ารูป แตกสลายเพราะอะไร แตกสลายเพราะความหนาวบ้าง แตกสลายเพราะความร้อนบ้าง แตกสลายเพราะความหิวบ้าง แตกสลายเพราะความกระหายบ้าง แตกสลายเพราะสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง ภิกษุทั้งหลาย เพราะแตกสลาย ดังนั้นจึงเรียกว่ารูป.
ภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่าเวทนา เพราะรู้สึก ดังนั้นจึงเรียกว่าเวทนา รู้สึกซึ่งอะไร รู้สึกสุขบ้าง รู้สึกทุกข์บ้าง รู้สึกอทุกขมสุขบ้าง ภิกษุทั้งหลาย เพราะรู้สึก ดังนั้นจึงเรียกว่า เวทนา.
ภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่าสัญญา เพราะจำได้ หมายรู้ ดังนั้นจึงเรียกว่าสัญญา จำได้ หมายรู้อะไร จำได้ หมายรู้สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง ภิกษุทั้งหลาย เพราะจำได้ หมายรู้ ดังนั้นจึงเรียกว่าสัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่าสังขาร เพราะปรุงแต่งสังขตะ ดังนั้นจึงเรียกว่าสังขาร ปรุงแต่งสังขตะอะไร ปรุงแต่งสังขตะคือรูปโดยความเป็นรูป ปรุงแต่งสังขตะคือเวทนาโดยความเป็นเวทนา ปรุงแต่งสังขตะคือสัญญาโดยความเป็นสัญญา ปรุงแต่งสังขตะคือสังขารโดยความเป็นสังขาร ปรุงแต่งสังขตะคือวิญญาณโดยความเป็นวิญญาณ ภิกษุทั้งหลาย เพราะปรุงแต่งสังขตะ ดังนั้นจึงเรียกว่าสังขาร.
ภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่าวิญญาณ เพราะรู้แจ้ง ดังนั้นจึงเรียกว่าวิญญาณ รู้แจ้งซึ่งอะไร รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รู้แจ้งรสขมบ้าง รู้แจ้งรสเผ็ดบ้าง รู้แจ้งรสหวานบ้าง รู้แจ้งรสขื่นบ้าง รู้แจ้งรสไม่ขื่นบ้าง รู้แจ้งรสเค็มบ้าง รู้แจ้งรสไม่เค็มบ้าง ภิกษุทั้งหลาย เพราะรู้แจ้ง ดังนั้นจึงเรียกว่าวิญญาณ.
ภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ในกาลนี้ เราถูกรูปเคี้ยวกินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกรูปเคี้ยวกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกรูปอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ ก็เรานี้ พึงชื่นชมรูปอันเป็นอนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็จะถูกรูปเคี้ยวกิน เหมือนกับที่ถูกรูปอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในรูปอันเป็นอดีต ย่อมไม่ชื่นชมรูปอันเป็นอนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งรูปอันเป็นปัจจุบัน.
ในกาลนี้ เราถูกเวทนาเคี้ยวกินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกเวทนาเคี้ยวกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกเวทนาอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ ก็เรานี้ พึงชื่นชมเวทนาอันเป็นอนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็จะถูกเวทนาเคี้ยวกิน เหมือนกับที่ถูกเวทนาอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในเวทนาอันเป็นอดีต ย่อมไม่ชื่นชมเวทนาอันเป็นอนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งเวทนาอันเป็นปัจจุบัน.
ในกาลนี้ เราถูกสัญญาเคี้ยวกินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกสัญญาเคี้ยวกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกสัญญาอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ ก็เรานี้ พึงชื่นชมสัญญาอันเป็นอนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็จะถูกสัญญาเคี้ยวกิน เหมือนกับที่ถูกสัญญาอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในสัญญาอันเป็นอดีต ย่อมไม่ชื่นชมสัญญาอันเป็นอนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งสัญญาอันเป็นปัจจุบัน.
ในกาลนี้ เราถูกสังขารเคี้ยวกินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกสังขารเคี้ยวกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกสังขารอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ ก็เรานี้ พึงชื่นชมสังขารอันเป็นอนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็จะถูกสังขารเคี้ยวกิน เหมือนกับที่ถูกสังขารอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในสังขารอันเป็นอดีต ย่อมไม่ชื่นชมสังขารอันเป็นอนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งสังขารอันเป็นปัจจุบัน.
ในกาลนี้ เราถูกวิญญาณเคี้ยวกินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกวิญญาณเคี้ยวกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกวิญญาณอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ ก็เรานี้ พึงชื่นชมวิญญาณอันเป็นอนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็จะถูกวิญญาณเคี้ยวกิน เหมือนกับที่ถูกวิญญาณอันเป็นปัจจุบันเคี้ยวกินอยู่ในบัดนี้ เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในวิญญาณอันเป็นอดีต ย่อมไม่ชื่นชมวิญญาณอันเป็นอนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณอันเป็นปัจจุบัน.
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง ภันเต.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ ภันเต.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต.
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง … สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง … สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง … วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง ภันเต.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์ ภันเต.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต.
ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง … สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง … สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง … วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม วิญญาณทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้ เราเรียกว่า ย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อขึ้น ย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอา ย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ ย่อมทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้น.
อริยสาวก ย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อซึ่งอะไร คือ เธอย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อซึ่งรูป ย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อซึ่งเวทนา ย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อซึ่งสัญญา ย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อซึ่งสังขาร ย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อซึ่งวิญญาณ.
เธอย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งอะไร คือ เธอย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งรูป ย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งเวทนา ย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งสัญญา ย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งสังขาร ย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งวิญญาณ.
เธอย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งอะไร คือ เธอย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งรูป ย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งเวทนา ย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งสัญญา ย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งสังขาร ย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งวิญญาณ
เธอย่อมทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งอะไร คือ เธอย่อมทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งรูป ย่อมทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งเวทนา ย่อมทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งสัญญา ย่อมทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งสังขาร ย่อมทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งวิญญาณ.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขาร ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว เธอย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้ เราเรียกว่า ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศ แต่เป็นอันว่าทำให้พินาศได้แล้วดำรงอยู่ ย่อมไม่ละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอา แต่เป็นอันว่าละทิ้งได้แล้วดำรงอยู่ ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ แต่เป็นอันว่าเรี่ยรายได้แล้วดำรงอยู่ ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นอันว่าทำให้มอดได้แล้วดำรงอยู่.
อริยสาวก ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำอะไรให้พินาศ แต่เป็นอันว่าทำให้พินาศได้แล้วดำรงอยู่ คือ ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศซึ่งรูป แต่เป็นอันว่าทำให้พินาศได้แล้วดำรงอยู่ ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศซึ่งเวทนา … ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศซึ่งสัญญา … ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศซึ่งสังขาร … ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศซึ่งวิญญาณ แต่เป็นอันว่าทำให้พินาศได้แล้วดำรงอยู่.
ย่อมไม่ละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งอะไร แต่เป็นอันว่าละทิ้งได้แล้วดำรงอยู่ คือ ย่อมไม่ละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งรูป แต่เป็นอันว่าละทิ้งได้แล้วดำรงอยู่ ย่อมไม่ละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งเวทนา … ย่อมไม่ละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งสัญญา … ย่อมไม่ละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งสังขาร ย่อมไม่ละทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาซึ่งวิญญาณ แต่เป็นอันว่าละทิ้งได้แล้วดำรงอยู่.
ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งอะไร แต่เป็นอันว่าเรี่ยรายได้แล้วดำรงอยู่ คือ ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งรูป แต่เป็นอันว่าเรี่ยรายได้แล้วดำรงอยู่ ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งเวทนา … ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งสัญญา … ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งสังขาร … ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ซึ่งวิญญาณ แต่เป็นอันว่าเรี่ยรายได้แล้วดำรงอยู่.
ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งอะไร แต่เป็นอันว่าทำให้มอดได้แล้วดำรงอยู่ คือ ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งรูป แต่เป็นอันว่าทำให้มอดได้แล้วดำรงอยู่ ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งเวทนา … ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งสัญญา … ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งสังขาร ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ทำให้ลุกโพลงขึ้นซึ่งวิญญาณ แต่เป็นอันว่าทำให้มอดได้แล้วดำรงอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย เทวดา พร้อมด้วยอินทร์ พรหม และปชาบดี ย่อมนมัสการภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ มาจากที่ไกลเทียวว่า
ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าแต่ท่านบุรุษผู้สูงสุด
ข้าพเจ้าขอนอบน้อม (นมัสการ) ต่อท่าน
เพราะข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่อาจจะทราบสิ่งที่ท่านอาศัยแล้วเพ่ง ดังนี้.
-บาลี ขนฺธ. สํ. 17/105/158.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//105,
https://etipitaka.com/read/pali/17/105
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, whatever ascetics and brahmins recollect many kinds of past lives, all recollect the five grasping aggregates, or one of them. What five? ‘I had such form in the past.’ Recollecting thus, it’s only form that they recollect. ‘I had such feeling … perception … choices … consciousness in the past.’ Recollecting thus, it’s only consciousness that they recollect.
And why do you call it form? It’s deformed; that’s why it’s called ‘form’. Deformed by what? Deformed by cold, heat, hunger, and thirst, and deformed by the touch of flies, mosquitoes, wind, sun, and reptiles. It’s deformed; that’s why it’s called ‘form’.
And why do you call it feeling? It feels; that’s why it’s called ‘feeling’. And what does it feel? It feels pleasure, pain, and neutral. It feels; that’s why it’s called ‘feeling’.
And why do you call it perception? It perceives; that’s why it’s called ‘perception’. And what does it perceive? It perceives blue, yellow, red, and white. It perceives; that’s why it’s called ‘perception’.
And why do you call them choices? Choices produce conditioned phenomena; that’s why they’re called ‘choices’. And what are the conditioned phenomena that they produce? Form is a conditioned phenomenon; choices are what make it into form. Feeling is a conditioned phenomenon; choices are what make it into feeling. Perception is a conditioned phenomenon; choices are what make it into perception. Choices are conditioned phenomena; choices are what make them into choices. Consciousness is a conditioned phenomenon; choices are what make it into consciousness. Choices produce conditioned phenomena; that’s why they’re called ‘choices’.
And why do you call it consciousness? It cognizes; that’s why it’s called ‘consciousness’. And what does it cognize? It cognizes sour, bitter, pungent, sweet, hot, mild, salty, and bland. It cognizes; that’s why it’s called ‘consciousness’.
A noble disciple reflects on this: ‘Currently I’m itched by form. In the past I was also itched by form just like now. If I were to look forward to enjoying form in the future, I’d be itched by form in the future just as I am today.’ Reflecting like this they don’t worry about past form, they don’t look forward to enjoying future form, and they practice for disillusionment, dispassion, and cessation regarding present form.
‘Currently I’m itched by feeling …
perception …
choices …
consciousness. In the past I was also itched by consciousness just like now. If I were to look forward to enjoying consciousness in the future, I’d be itched by consciousness in the future just as I am today.’ Reflecting like this they don’t worry about past consciousness, they don’t look forward to enjoying future consciousness, and they practice for disillusionment, dispassion, and cessation regarding present consciousness.
What do you think, mendicants? Is form permanent or impermanent?”
“Impermanent, sir.”
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“Suffering, sir.”
“But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“No, sir.”
“Is feeling … perception … choices … consciousness permanent or impermanent?”
“Impermanent, sir.”
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“Suffering, sir.”
“But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“No, sir.”
“So you should truly see any kind of form at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all form—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ You should truly see any kind of feeling … perception … choices … consciousness at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all consciousness—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’
This is called a noble disciple who gets rid of things and doesn’t accumulate them; who gives things up and doesn’t grasp at them; who discards things and doesn’t amass them; who dissipates things and doesn’t get clouded by them.
And what things do they get rid of and not accumulate? They get rid of form and don’t accumulate it. They get rid of feeling … perception … choices … consciousness and don’t accumulate it.
And what things do they give up and not grasp? They give up form and don’t grasp it. They give up feeling … perception … choices … consciousness and don’t grasp it.
And what things do they discard and not amass? They discard form and don’t amass it. They discard feeling … perception … choices … consciousness and don’t amass it.
And what things do they dissipate and not get clouded by? They dissipate form and don’t get clouded by it. They dissipate feeling … perception … choices … consciousness and don’t get clouded by it.
Seeing this, a learned noble disciple grows disillusioned with form, feeling, perception, choices, and consciousness. Being disillusioned, desire fades away. When desire fades away they’re freed. When they’re freed, they know they’re freed.
They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’
This is called a mendicant who neither gets rid of things nor accumulates them, but remains after getting rid of them. They neither give things up nor grasp them, but remain after giving them up. They neither discard things nor amass them, but remain after discarding them. They neither dissipate things nor get clouded by them, but remain after dissipating them.
And what things do they neither get rid of nor accumulate, but remain after getting rid of them? They neither get rid of nor accumulate form, but remain after getting rid of it. They neither get rid of nor accumulate feeling … perception … choices … consciousness, but remain after getting rid of it.
And what things do they neither give up nor grasp, but remain after giving them up? They neither give up nor grasp form, but remain after giving it up. They neither give up nor grasp feeling … perception … choices … consciousness, but remain after giving it up.
And what things do they neither discard nor amass, but remain after discarding them? They neither discard nor amass form, but remain after discarding it. They neither discard nor amass feeling … perception … choices … consciousness, but remain after discarding it.
And what things do they neither dissipate nor get clouded by, but remain after dissipating them? They neither dissipate nor get clouded by form, but remain after dissipating it. They neither dissipate nor get clouded by feeling … perception … choices … consciousness, but remain after dissipating it.
When a mendicant’s mind is freed like this, the gods together with Indra, Brahmā, and Pajāpati worship them from afar:
‘Homage to you, O thoroughbred!
Homage to you, supreme among men!
We don’t understandthe basis of your absorption.’”
English translation by Bhikkhu Bodhi
At Savatthi. “Bhikkhus, those ascetics and brahmins who recollect their manifold past abodes all recollect the five aggregates subject to clinging or a certain one among them. What five?
“When recollecting thus, bhikkhus: ‘I had such form in the past,’ it is just form that one recollects. When recollecting: ‘I had such a feeling in the past,’ it is just feeling that one recollects. When recollecting: ‘I had such a perception in the past,’ it is just perception that one recollects. When recollecting: ‘I had such volitional formations in the past,’ it is just volitional formations that one recollects. When recollecting: ‘I had such consciousness in the past,’ it is just consciousness that one recollects.
“And why, bhikkhus, do you call it form? ‘It is deformed,’ bhikkhus, therefore it is called form. Deformed by what? Deformed by cold, deformed by heat, deformed by hunger, deformed by thirst, deformed by contact with flies, mosquitoes, wind, sun, and serpents. ‘It is deformed,’ bhikkhus, therefore it is called form.
“And why, bhikkhus, do you call it feeling? ‘It feels,’ bhikkhus, therefore it is called feeling. And what does it feel? It feels pleasure, it feels pain, it feels neither-pain-nor-pleasure. ‘It feels,’ bhikkhus, therefore it is called feeling.
“And why, bhikkhus, do you call it perception? ‘It perceives,’ bhikkhus, therefore it is called perception. And what does it perceive? It perceives blue, it perceives yellow, it perceives red, it perceives white. ‘It perceives,’ bhikkhus, therefore it is called perception.
“And why, bhikkhus, do you call them volitional formations? ‘They construct the conditioned,’ bhikkhus, therefore they are called volitional formations. And what is the conditioned that they construct? They construct conditioned form as form; they construct conditioned feeling as feeling; they construct conditioned perception as perception; they construct conditioned volitional formations as volitional formations; they construct conditioned consciousness as consciousness. ‘They construct the conditioned,’ bhikkhus, therefore they are called volitional formations.
“And why, bhikkhus, do you call it consciousness? ‘It cognizes, ’ bhikkhus, therefore it is called consciousness. And what does it cognize? It cognizes sour, it cognizes bitter, it cognizes pungent, it cognizes sweet, it cognizes sharp, it cognizes mild, it cognizes salty, it cognizes bland. ‘It cognizes,’ bhikkhus, therefore it is called consciousness.
“Therein, bhikkhus, the instructed noble disciple reflects thus: ‘I am now being devoured by form. In the past too I was devoured by form in the very same way that I am now being devoured by present form. If I were to seek delight in future form, then in the future too I shall be devoured by form in the very same way that I am now being devoured by present form.’ Having reflected thus, he becomes indifferent towards past form, he does not seek delight in future form, and he is practising for revulsion towards present form, for its fading away and cessation.
“He reflects thus: ‘I am now being devoured by feeling.’ … … ‘I am now being devoured by perception.’ … ‘I am now being devoured by volitional formations.’ … ‘I am now being devoured by consciousness. In the past too I was devoured by consciousness in the very same way that I am now being devoured by present consciousness. If I were to seek delight in future consciousness, then in the future too I shall be devoured by consciousness in the very same way that I am now being devoured by present consciousness.’ Having reflected thus, he becomes indifferent towards past consciousness, he does not seek delight in future consciousness, and he is practising for revulsion towards present consciousness, for its fading away and cessation.
“What do you think, bhikkhus, is form permanent or impermanent? … Is feeling … perception … volitional formations … consciousness permanent or impermanent?”—“Impermanent, venerable sir.”—“Is what is impermanent suffering or happiness?”—“Suffering, venerable sir.”—“Is what is impermanent, suffering, and subject to change fit to be regarded thus: ‘This is mine, this I am, this is my self’?”—“No, venerable sir.”
“Therefore, bhikkhus, any kind of form whatsoever … Any kind of feeling whatsoever … Any kind of perception whatsoever … Any kind of volitional formations whatsoever … Any kind of consciousness whatsoever, whether past, future, or present, internal or external, gross or subtle, inferior or superior, far or near, all consciousness should be seen as it really is with correct wisdom thus: ‘This is not mine, this I am not, this is not my self.’
“This is called, bhikkhus, a noble disciple who dismantles and does not build up; who abandons and does not cling; who scatters and does not amass; who extinguishes and does not kindle.
“And what is it that he dismantles and does not build up? He dismantles form and does not build it up. He dismantles feeling … perception … volitional formations … consciousness and does not build it up.
“And what is it that he abandons and does not cling to? He abandons form and does not cling to it. He abandons feeling … perception … volitional formations … consciousness and does not cling to it.
“And what is it that he scatters and does not amass? He scatters form and does not amass it. He scatters feeling … perception … volitional formations … consciousness and does not amass it.
“And what is it that he extinguishes and does not kindle? He extinguishes form and does not kindle it. He extinguishes feeling … perception … volitional formations … consciousness and does not kindle it.
“Seeing thus, bhikkhus, the instructed noble disciple experiences revulsion towards form, revulsion towards feeling, revulsion towards perception, revulsion towards volitional formations, revulsion towards consciousness. Experiencing revulsion, he becomes dispassionate. Through dispassion his mind is liberated. When it is liberated there comes the knowledge: ‘It’s liberated.’ He understands: ‘Destroyed is birth, the holy life has been lived, what had to be done has been done, there is no more for this state of being.’
“This is called, bhikkhus, a noble disciple who neither builds up nor dismantles, but who abides having dismantled; who neither abandons nor clings, but who abides having abandoned; who neither scatters nor amasses, but who abides having scattered; who neither extinguishes nor kindles, but who abides having extinguished.
“And what is it, bhikkhus, that he neither builds up nor dismantles, but abides having dismantled? He neither builds up nor dismantles form, but abides having dismantled it. He neither builds up nor dismantles feeling … perception … volitional formations … consciousness, but abides having dismantled it.
“And what is it that he neither abandons nor clings to, but abides having abandoned? He neither abandons nor clings to form, but abides having abandoned it. He neither abandons nor clings to feeling … perception … volitional formations … consciousness, but abides having abandoned it.
“And what is it that he neither scatters nor amasses, but abides having scattered? He neither scatters nor amasses form, but abides having scattered it. He neither scatters nor amasses feeling … perception … volitional formations … consciousness, but abides having scattered it.
“And what is it that he neither extinguishes nor kindles, but abides having extinguished? He neither extinguishes nor kindles form, but abides having extinguished it. He neither extinguishes nor kindles feeling … perception … volitional formations … consciousness, but abides having extinguished it.
“When, bhikkhus, a bhikkhu is thus liberated in mind, the devas together with Indra, Brahma, and Pajapati pay homage to him from afar:
“‘Homage to you, O thoroughbred man!
Homage to you, O highest among men!
We ourselves do not directly know
Dependent upon what you meditate.’”