ผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ ย่อมได้โสดาปัตติผล
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารโฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี สมัยนั้น พวกภิกษุในเมืองโกสัมพี มีความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ต่างเอาหอกคือปากทิ่มแทงกันและกันอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน.
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้วนั่งในที่สมควร จากนั้นได้ทูลว่า ภันเต ในกรณีนี้ พวกภิกษุในเมืองโกสัมพี มีความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ต่างเอาหอกคือปากทิ่มแทงกันและกันอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้วรับสั่งว่า มาเถิดภิกษุ เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมาตามคำของเราว่า พระศาสดาของพวกเรารับสั่งให้หาพวกท่านผู้มีอายุ.
ภิกษุรูปนั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น ภันเต ดังนี้แล้วเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้ว บอกว่า พระศาสดารับสั่งให้หาท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.
ภิกษุเหล่านั้นรับคำภิกษุนั้นว่า อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ ดังนี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่งในที่สมควร
พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกเธอมีความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ต่างเอาหอกคือปากทิ่มแทงกันและกันอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน จริงหรือ.
เป็นอย่างนั้น ภันเต.
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร สมัยใด พวกเธอมีความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ต่างเอาหอกคือปากทิ่มแทงกันและกันอยู่ สมัยนั้น พวกเธอเข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง บ้างหรือไม่.
ข้อนั้นไม่มีเลย ภันเต.
ภิกษุทั้งหลาย เช่นนี้ก็เป็นอันว่า สมัยใด พวกเธอมีความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ต่างเอาหอกคือปากทิ่มแทงกันและกันอยู่ สมัยนั้น พวกเธอมิได้เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง โมฆบุรุษทั้งหลาย เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเธอรู้อะไร เห็นอะไร จึงมีความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ต่างเอาหอกคือปากทิ่มแทงกันและกันอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน โมฆบุรุษทั้งหลาย ข้อนั้นนั่นแหละ จักเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ แก่เธอทั้งหลายตลอดกาลนาน.
ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการเหล่านี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรม ๖ ประการอะไรบ้าง คือ
ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ ภิกษุมีกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ปรากฏในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ปรากฏในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ปรากฏในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีลาภใดๆ เกิดโดยธรรม ได้แล้วโดยธรรม โดยที่สุดแม้เพียงอาหารติดบาตร ก็บริโภคโดยไม่เกียดกันไว้เพื่อตน ย่อมเป็นผู้บริโภคเฉลี่ยทั่วไปกับเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ผู้มีศีลทั้งหลาย ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกทิฏฐิครอบงำ เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ และถึงความเป็นผู้มีศีลเสมอกันในศีลเช่นนั้นกับเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิอันเป็นอริยะ อันเป็นเครื่องนำออก นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม และถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิเสมอกันในทิฏฐิเช่นนั้นกับเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิอันเป็นอริยะ อันเป็นเครื่องนำออก นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม เป็นยอดยึดคุมธรรม ๖ ประการเหล่านี้ ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกันไว้.
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนยอดอันเป็นส่วนสูงสุดเป็นที่ยึดคุมของเรือนยอด ฉันใด ทิฏฐิอันเป็นอริยะ อันเป็นเครื่องนำออก นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นยอดยึดคุมธรรม ๖ ประการเหล่านี้ ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฏฐิอันเป็นอริยะ อันเป็นเครื่องนำออก นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม เป็นอย่างไร คือ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่างก็ตาม ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำใดครอบงำแล้ว ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง เครื่องครอบงำนั้นที่เรายังละไม่ได้ในภายใน มีอยู่หรือไม่หนอ.
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตถูกกามราคะครอบงำ ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตถูกพยาบาทครอบงำ ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตถูกถีนมิทธะครอบงำ ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตถูกวิจิกิจฉาครอบงำ ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกนี้ หรือเป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกอื่น ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุุมีความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ต่างเอาหอกคือปากทิ่มแทงกันและกันอยู่ ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว.
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำใดครอบงำแล้ว ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง เครื่องครอบงำนั้นที่เรายังละไม่ได้ในภายใน มิได้มีเลย จิตของเราตั้งไว้ดีแล้ว เพื่อความตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย นี้คือญาณที่ ๑ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชนอันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเสพให้ทั่วถึง ทำให้เจริญ ทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้ ย่อมได้ความสงบเฉพาะตน ย่อมได้ความดับเฉพาะตนหรือไม่หนอ อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเสพให้ทั่วถึง ทำให้เจริญ ทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้ ย่อมได้ความสงบเฉพาะตน ย่อมได้ความดับเฉพาะตน นี้คือญาณที่ ๒ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นภายนอกธรรมวินัยนี้ ที่เป็นผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้นมีอยู่หรือไม่หนอ อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นภายนอกธรรมวินัยนี้ ที่เป็นผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้นมิได้มี นี้คือญาณที่ ๓ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิเป็นอย่างนี้ คือ ความออกจากอาบัติเช่นใดย่อมปรากฏ อริยสาวกย่อมต้องอาบัติเช่นนั้นบ้างโดยแท้ แต่ถึงอย่างนั้น อริยสาวกนั้น จะรีบแสดง เปิดเผย ทำให้ตื้น ซึ่งอาบัตินั้นในสำนักพระศาสดา หรือในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ที่เป็นวิญญูชนทั้งหลาย ครั้นแสดง เปิดเผย ทำให้ตื้นแล้ว ก็ถึงความสำรวมระวังต่อไป เปรียบเหมือนเด็กอ่อนที่นอนหงาย ถูกถ่านไฟด้วยมือ หรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็จะชักหนีเร็วพลัน ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น นี้คือญาณที่ ๔ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิเป็นอย่างนี้ คือ อริยสาวกย่อมถึงความขวนขวายในกิจใหญ่กิจน้อยที่ควรทำของเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์โดยแท้ แต่ถึงอย่างนั้น ความปรารถนาอย่างแรงกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของอริยสาวกนั้นก็ยังมีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินไปด้วย ชำเลืองดูลูกไปด้วย ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น นี้คือญาณที่ ๕ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยพละเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย พละของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิเป็นอย่างนี้ คือ อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่ ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ ย่อมทำไว้ในใจ ย่อมกำหนดด้วยจิตทั้งปวง ย่อมเงี่ยโสตลงฟังธรรม อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นนั้น นี้คือญาณที่ ๖ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยพละเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย พละของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิเป็นอย่างนี้ คือ อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่ ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นนั้น นี้คือญาณที่ ๗ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาอันอริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการอย่างเหล่านี้ ตรวจดูดีแล้ว ด้วยการทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยโสดาปัตติผล ดังนี้.
-บาลี มู. ม. 12/581/540.
https://84000.org/tipitaka/pali/?12//581,
https://etipitaka.com/read/pali/12/581
English translation by Bhikkhu Sujato
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Kosambi, in Ghosita’s Monastery.
Now at that time the mendicants of Kosambi were arguing, quarreling, and disputing, continually wounding each other with barbed words. They couldn’t persuade each other or be persuaded, nor could they convince each other or be convinced.
Then a mendicant went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what was happening.
So the Buddha addressed a certain monk, “Please, monk, in my name tell those mendicants that the teacher summons them.
“Yes, sir,” that monk replied. He went to those monks and said, “Venerables, the teacher summons you.”
“Yes, reverend,” those monks replied. They went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to them,
“Is it really true, mendicants, that you have been arguing, quarreling, and disputing, continually wounding each other with barbed words? And that you can’t persuade each other or be persuaded, nor can you convince each other or be convinced?”
“Yes, sir,” they said.
“What do you think, mendicants? When you’re arguing, quarreling, and disputing, continually wounding each other with barbed words, are you treating your spiritual companions with kindness by way of body, speech, and mind, both in public and in private?”
“No, sir.”
“So it seems that when you’re arguing you are not treating each other with kindness. So what exactly do you know and see, you foolish men, that you behave in such a way? This will be for your lasting harm and suffering.”
Then the Buddha said to the mendicants:
“Mendicants, these six warm-hearted qualities make for fondness and respect, conducing to inclusion, harmony, and unity, without quarreling. What six? Firstly, a mendicant consistently treats their spiritual companions with bodily kindness, both in public and in private. This warm-hearted quality makes for fondness and respect, conducing to inclusion, harmony, and unity, without quarreling.
Furthermore, a mendicant consistently treats their spiritual companions with verbal kindness …
Furthermore, a mendicant consistently treats their spiritual companions with mental kindness …
Furthermore, a mendicant shares without reservation any material possessions they have gained by legitimate means, even the food placed in the alms-bowl, using them in common with their ethical spiritual companions …
Furthermore, a mendicant lives according to the precepts shared with their spiritual companions, both in public and in private. Those precepts are unbroken, impeccable, spotless, and unmarred, liberating, praised by sensible people, not mistaken, and leading to immersion. …
Furthermore, a mendicant lives according to the view shared with their spiritual companions, both in public and in private. That view is noble and emancipating, and leads one who practices it to the complete ending of suffering. This warm-hearted quality makes for fondness and respect, conducing to inclusion, harmony, and unity, without quarreling.
These six warm-hearted qualities make for fondness and respect, conducing to inclusion, harmony, and unity, without quarreling.
Of these six warm-hearted qualities, the chief is the view that is noble and emancipating, and leads one who practices it to the complete ending of suffering. It holds and binds everything together. It’s like a bungalow. The roof-peak is the chief point, which holds and binds everything together. In the same way, of these six warm-hearted qualities, the chief is the view that is noble and emancipating, and leads one who practices it to the complete ending of suffering. It holds and binds everything together.
And how does the view that is noble and emancipating lead one who practices it to the complete ending of suffering? It’s when a mendicant has gone to a wilderness, or to the root of a tree, or to an empty hut, and reflects like this, ‘Is there anything that I’m overcome with internally and haven’t given up, because of which I might not accurately know and see?’ If a mendicant is overcome with sensual desire, it’s their mind that’s overcome. If a mendicant is overcome with ill will, dullness and drowsiness, restlessness and remorse, doubt, pursuing speculation about this world, pursuing speculation about the next world, or arguing, quarreling, and disputing, continually wounding others with barbed words, it’s their mind that’s overcome. They understand, ‘There is nothing that I’m overcome with internally and haven’t given up, because of which I might not accurately know and see. My mind is properly disposed for awakening to the truths.’ This is the first knowledge they have achieved that is noble and transcendent, and is not shared with ordinary people.
Furthermore, a noble disciple reflects, ‘When I develop, cultivate, and make much of this view, do I personally gain serenity and quenching?’ They understand, ‘When I develop, cultivate, and make much of this view, I personally gain serenity and quenching.’ This is their second knowledge …
Furthermore, a noble disciple reflects, ‘Are there any ascetics or brahmins outside of the Buddhist community who have the same kind of view that I have?’ They understand, ‘There are no ascetics or brahmins outside of the Buddhist community who have the same kind of view that I have.’ This is their third knowledge …
Furthermore, a noble disciple reflects, ‘Do I have the same nature as a person accomplished in view?’ And what, mendicants, is the nature of a person accomplished in view? This is the nature of a person accomplished in view. Though they may fall into a kind of offense for which rehabilitation has been laid down, they quickly disclose, clarify, and reveal it to the Teacher or a sensible spiritual companion. And having revealed it they restrain themselves in the future. Suppose there was a little baby boy. If he puts his hand or foot on a burning coal, he quickly pulls it back. In the same way, this is the nature of a person accomplished in view. Though they may still fall into a kind of offense for which rehabilitation has been laid down, they quickly reveal it to the Teacher or a sensible spiritual companion. And having revealed it they restrain themselves in the future. They understand, ‘I have the same nature as a person accomplished in view.’ This is their fourth knowledge …
Furthermore, a noble disciple reflects, ‘Do I have the same nature as a person accomplished in view?’ And what, mendicants, is the nature of a person accomplished in view? This is the nature of a person accomplished in view. Though they might manage a diverse spectrum of duties for their spiritual companions, they still feel a keen regard for the training in higher ethics, higher mind, and higher wisdom. Suppose there was a cow with a baby calf. She keeps the calf close as she grazes. In the same way, this is the nature of a person accomplished in view. Though they might manage a diverse spectrum of duties for their spiritual companions, they still feel a keen regard for the training in higher ethics, higher mind, and higher wisdom. They understand, ‘I have the same nature as a person accomplished in view.’ This is their fifth knowledge …
Furthermore, a noble disciple reflects, ‘Do I have the same strength as a person accomplished in view?’ And what, mendicants, is the strength of a person accomplished in view? The strength of a person accomplished in view is that, when the teaching and training proclaimed by the Realized One are being taught, they pay heed, pay attention, engage wholeheartedly, and lend an ear. They understand, ‘I have the same strength as a person accomplished in view.’ This is their sixth knowledge …
Furthermore, a noble disciple reflects, ‘Do I have the same strength as a person accomplished in view?’ And what, mendicants, is the strength of a person accomplished in view? The strength of a person accomplished in view is that, when the teaching and training proclaimed by the Realized One are being taught, they find inspiration in the meaning and the teaching, and find joy connected with the teaching. They understand, ‘I have the same strength as a person accomplished in view.’ This is the seventh knowledge they have achieved that is noble and transcendent, and is not shared with ordinary people.
When a noble disciple has these seven factors, they have properly investigated their own nature with respect to the realization of the fruit of stream-entry. A noble disciple with these seven factors has the fruit of stream-entry.”
That is what the Buddha said. Satisfied, the mendicants were happy with what the Buddha said.
English translation by Suddhāso Bhikkhu
Thus have I heard. On one occasion the Blessed One was dwelling at Kosambi, in Ghosita‘s Park. On this occasion, the monks at Kosambi were engaged in disputes, arguments, and contention; they were verbally assaulting each other. They could not persuade each other, and they were not persuaded by each other; they could not convince each other, and they were not convinced by each other.
Then a certain monk approached the Blessed One, venerated him, and sat to one side. When he was seated to one side, that monk said to the Blessed One, “Here, Bhante, the monks at Kosambi are engaged in disputes, arguments, and contention; they are verbally assaulting each other. They can not persuade each other, and they are not persuaded by each other; they can not convince each other, and they are not convinced by each other.”
Then the Blessed One addressed a certain monk: “Monk, go and summon those monks with my words: ‘The Teacher summons you.’”
“Yes, Bhante,” that monk replied to the Blessed One. He approached the monks and said to them, “The Teacher summons you.”
“Yes, Venerable,” those monks replied to that monk. They approached the Blessed One, venerated him, and sat to one side. When they were seated to one side, the Blessed One said to those monks, “Monks, is it true that you are engaged in disputes, arguments, contention, and mutual verbal assault? Is it true that you can not persuade each other, and are not persuaded by each other; that you can not convince each other, and are are not convinced by each other?”
“Yes, Bhante.”
“Monks, what do you think? When you are engaged in disputes, arguments, contention, and mutual verbal assault, have physical actions… verbal actions… and mental actions based on loving-friendliness been established in regards to your co-practitioners, both publicly and privately?”
“Certainly not, Bhante.”
“Thus, monks, it is apparent that when you are engaged in disputes, arguments, contention, and mutual verbal assault, then physical actions… verbal actions… and mental actions based on loving-friendliness have not been established in regards to your co-practitioners, both publicly and privately. Foolish men, what could you possibly know or see that leads you to engage in disputes, arguments, contention, and mutual verbal assault, such that you can not persuade each other, and are not persuaded by each other; that you can not convince each other, and are are not convinced by each other? Foolish men, this will lead to your long-lasting detriment and suffering.”
The Six Factors of Communal Harmony
Then the Blessed One addressed the monks: “Monks, these six things are polite, create affection and respect, and lead to inclusiveness, non-contention, harmony, and unity. What six?
“Here, monks, a monk establishes physical actions based on loving-friendliness in regards to his co-practitioners, both publicly and privately. This is one thing that is polite, creates affection and respect, and leads to inclusiveness, non-contention, harmony, and unity.
“Monks, this is another one: A monk establishes verbal actions based on loving-friendliness in regards to his co-practitioners, both publicly and privately. This is another thing that is polite, creates affection and respect, and leads to inclusiveness, non-contention, harmony, and unity.
“Monks, this is another one: A monk establishes mental actions based on loving-friendliness in regards to his co-practitioners, both publicly and privately. This is another thing that is polite, creates affection and respect, and leads to inclusiveness, non-contention, harmony, and unity.
“Monks, this is another one: A monk unreservedly shares with his virtuous co-practitioners any possessions he has acquired properly – even the contents of his alms-bowl. This is another thing that is polite, creates affection and respect, and leads to inclusiveness, non-contention, harmony, and unity.
“Monks, this is another one: When living with his co-practitioners, a monk engages both publicly and privately in virtuous behaviors which are unbroken, undamaged, unstained, unblemished, liberating, praised by the wise, free of grasping, and conducive to concentration.
“Monks, this is another one: When living with his co-practitioners, a monk maintains both publicly and privately a perspective which is noble, salvific, and correctly leads the maintainer of that perspective to the elimination of suffering.
“Monks, these are six things that are polite, create affection and respect, and lead to inclusiveness, non-contention, harmony, and unity. Monks, of these six polite things, this is the best one, the all-inclusive one, the unifying one: the perspective which is noble, salvific, and correctly leads its maintainer to the elimination of suffering.
The Seven Factors of Stream-Entry
“Monks, what is the perspective which is noble, salvific, and correctly leads its maintainer to the elimination of suffering? Here, monks, a monk has gone to the forest, to the base of a tree, or to an empty building, and considers in this way: ‘Do I have an obsession which has not been abandoned, which can obsess my mind such that I will be unable to accurately know and see?’ Monks, if a monk is obsessed with sensual passion, then his mind is obsessed. Monks, if a monk is obsessed with aversion, then his mind is obsessed. Monks, if a monk is obsessed with lethargy and languor, then his mind is obsessed. Monks, if a monk is obsessed with restlessness and remorse, then his mind is obsessed. Monks, if a monk is obsessed with doubt, then his mind is obsessed. Monks, if a monk is intent upon this world, then his mind is obsessed. Monks, if a monk is intent upon the next world, then his mind is obsessed. Monks, if a monk is engaged in disputes, arguments, contention, and mutual verbal assault, then his mind is obsessed. He understands: ‘There is no obsession in me which has not been abandoned, which could obsess my mind such that I would be unable to accurately know and see. My mind is well-directed for awakening to the truth.’ This is the first knowledge that he has attained which is noble, transcendent, and not in common with ordinary people.
“Monks, this is another one: A noble disciple considers in this way: ‘When I pursue, develop, and commit to this perspective, do I personally acquire tranquility and peacefulness?’ He understands: ‘When I pursue, develop, and commit to this perspective, I personally acquire tranquility and peacefulness.’ This is the second knowledge that he has attained which is noble, transcendent, and not in common with ordinary people.
“Monks, this is another one: A noble disciple considers in this way: ‘Are there contemplatives and priests outside of this teaching1 who have the same kind of perspective as I do?’ He understands: ‘There are no contemplatives and priests outside of this teaching who have the same kind of perspective as I do.’ This is the third knowledge that he has attained which is noble, transcendent, and not in common with ordinary people.
“Monks, this is another one: A noble disciple considers in this way: ‘Do I have the disposition of a person who has attained right perspective?’ And, monks, what is the disposition of a person who has attained right perspective? Monks, this is the disposition of a person who has attained right perspective: If he commits an offense for which rehabilitation is possible, then he quickly tells, discloses, and clarifies it to the Teacher or to wise co-practitioners; and after telling, disclosing, and clarifying it, he is restrained in the future. Monks, just as a young, undeveloped infant that touches a hot coal with its hand or foot quickly withdraws, in the same way, monks, this is the disposition of a person who has attained right perspective: If he commits an offense… he is restrained in the future. He understands: ‘I have the disposition of a person who has attained right perspective.’ This is the fourth knowledge that he has attained which is noble, transcendent, and not in common with ordinary people.
“Monks, this is another one: A noble disciple considers in this way: ‘Do I have the disposition of a person who has attained right perspective?’ And, monks, what is the disposition of a person who has attained right perspective? Monks, this is the disposition of a person who has attained right perspective: He makes an effort to do whatever needs to be done for his co-practitioners, while still having a strong commitment to training himself in heightened virtue, heightened mentality, and heightened wisdom. Just as a cow with a young calf watches the calf while grazing, in the same way, monks, this is the disposition of a person who has attained right perspective: He makes an effort to do whatever needs to be done for his co-practitioners, while still having a strong commitment to training himself in heightened virtue, heightened mentality, and heightened wisdom. He understands: ‘I have the disposition of a person who has attained right perspective.’ This is the fifth knowledge that he has attained which is noble, transcendent, and not in common with ordinary people.
“Monks, this is another one: A noble disciple considers in this way: ‘Do I have the strength of a person who has attained right perspective?’ And, monks, what is the strength of a person who has attained right perspective? Monks, this is the strength of a person who has attained right perspective: When the Dhamma-Vinaya2 which has been declared by the Tathāgata is being taught, he listens to the Dhamma carefully, attentively, and wholeheartedly3. He understands: ‘I have the strength of a person who has attained right perspective.’ This is the sixth knowledge that he has attained which is noble, transcendent, and not in common with ordinary people.
“Monks, this is another one: A noble disciple considers in this way: ‘Do I have the strength of a person who has attained right perspective?’ And, monks, what is the strength of a person who has attained right perspective? Monks, this is the strength of a person who has attained right perspective: When the Dhamma-Vinaya which has been declared by the Tathāgata is being taught, he acquires an understanding of its meaning4, he acquires an understanding of the Dhamma, and he acquires joy connected with the Dhamma. He understands: ‘I have the strength of a person who has attained right perspective.’ This is the seventh knowledge that he has attained which is noble, transcendent, and not in common with ordinary people.
“Monks, when a noble disciple has these seven characteristics, he has sought out5 well the disposition that leads to realizing the attainment of stream-entry6. Monks, when a noble disciple has these seven characteristics, he has attained stream-entry.”
This is what the Blessed One said. Satisfied, those monks delighted in the Blessed One‘s speech.