Sarakāni the Sakyan had passed away. He was a stream-enterer. (1)
English translation by Bhikkhu Sujato
At Kapilavatthu.
Now at that time Sarakāni the Sakyan had passed away. The Buddha declared that he was a stream-enterer, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening.
At that, several Sakyans came together complaining, grumbling, and objecting, “It’s incredible, it’s amazing! Who can’t become a stream-enterer these days? For the Buddha even declared Sarakāni to be a stream-enterer after he passed away. Sarakāni was too weak for the training; he used to drink alcohol.”
Then Mahānāma the Sakyan went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened. The Buddha said:
“Mahānāma, when a lay follower has for a long time gone for refuge to the Buddha, the teaching, and the Saṅgha, how could they go to the underworld? And if anyone should rightly be said to have for a long time gone for refuge to the Buddha, the teaching, and the Saṅgha, it’s Sarakāni the Sakyan. Sarakāni the Sakyan has for a long time gone for refuge to the Buddha, the teaching, and the Saṅgha. How could he go to the underworld?
Take a certain person who has experiential confidence in the Buddha … the teaching … the Saṅgha … They have laughing wisdom and swift wisdom, and are endowed with freedom. They’ve realized the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life. And they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements. This person is exempt from hell, the animal realm, and the ghost realm. They’re exempt from places of loss, bad places, the underworld.
Take another person who has experiential confidence in the Buddha … the teaching … the Saṅgha … They have laughing wisdom and swift wisdom, but are not endowed with freedom. With the ending of the five lower fetters they’re reborn spontaneously. They are extinguished there, and are not liable to return from that world. This person, too, is exempt from hell, the animal realm, and the ghost realm. They’re exempt from places of loss, bad places, the underworld.
Take another person who has experiential confidence in the Buddha … the teaching … the Saṅgha … But they don’t have laughing wisdom or swift wisdom, nor are they endowed with freedom. With the ending of three fetters, and the weakening of greed, hate, and delusion, they’re a once-returner. They come back to this world once only, then make an end of suffering. This person, too, is exempt from hell, the animal realm, and the ghost realm. They’re exempt from places of loss, bad places, the underworld.
Take another person who has experiential confidence in the Buddha … the teaching … the Saṅgha … But they don’t have laughing wisdom or swift wisdom, nor are they endowed with freedom. With the ending of three fetters they’re a stream-enterer, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening. This person, too, is exempt from hell, the animal realm, and the ghost realm. They’re exempt from places of loss, bad places, the underworld.
Take another person who doesn’t have experiential confidence in the Buddha … the teaching … the Saṅgha … They don’t have laughing wisdom or swift wisdom, nor are they endowed with freedom. Still, they have these qualities: the faculties of faith, energy, mindfulness, immersion, and wisdom. And they accept the principles proclaimed by the Realized One after considering them with a degree of wisdom. This person, too, doesn’t go to hell, the animal realm, and the ghost realm. They don’t go to places of loss, bad places, the underworld.
Take another person who doesn’t have experiential confidence in the Buddha … the teaching … the Saṅgha … They don’t have laughing wisdom or swift wisdom, nor are they endowed with freedom. Still, they have these qualities: the faculties of faith, energy, mindfulness, immersion, and wisdom. And they have a degree of faith and love for the Buddha. This person, too, doesn’t go to hell, the animal realm, and the ghost realm. They don’t go to places of loss, bad places, the underworld.
If these great sal trees could understand what was well said and poorly said, I’d declare them to be stream-enterers. Why can’t this apply to Sarakāni? Mahānāma, Sarakāni the Sakyan undertook the training at the time of his death.”
เรื่องเกิดขึ้นที่นครกบิลพัสดุ์ ก็สมัยนั้น เจ้าศากยะพระนามว่าสรกานิสิ้นพระชนม์ พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ท่านว่า เป็นพระโสดาบันมีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้ที่ได้จะตรัสรู้ในกาลข้างหน้า ได้ยินว่า พวกเจ้าศากยะจำนวนมาก มาร่วมประชุมพร้อมกันแล้ว ย่อมเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า น่าอัศจรรย์หนอ ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ท่านผู้เจริญ บัดนี้ ในที่นี้ ใครเล่าจักไม่เป็นพระโสดาบัน เพราะเจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ท่านว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้ที่จะได้ตรัสรู้ในกาลข้างหน้า ทั้งที่เจ้าสรกานิศากยะถึงความเป็นผู้ทำสิกขาให้ถอยกำลัง ด้วยเอาแต่เสวยน้ำจัณฑ์.
ครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่ามหานาม เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่งในที่สมควร ครั้นแล้วได้ทูลว่า
ภันเต ในกรณีนี้ เจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์ พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้ที่จะได้ตรัสรู้ในกาลข้างหน้า ได้ยินว่า พวกเจ้าศากยะจำนวนมาก มาร่วมประชุมพร้อมกันแล้ว ย่อมเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า น่าอัศจรรย์หนอ ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ท่านผู้เจริญ บัดนี้ ในที่นี้ ใครเล่าจักไม่เป็นพระโสดาบัน เพราะเจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ท่านว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้ที่จะได้ตรัสรู้ในกาลข้างหน้า ทั้งที่เจ้าสรกานิศากยะถึงความเป็นผู้ทำสิกขาให้ถอยกำลัง ด้วยเอาแต่เสวยน้ำจัณฑ์.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มหานาม อุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะมาตลอดกาลนาน จะไปสู่วินิบาตได้อย่างไร ก็เมื่อจะกล่าวถึงอุบาสกใดให้ถูกต้องว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะมาตลอดกาลนาน เมื่อจะกล่าวให้ถูกต้อง ก็พึงกล่าวถึงเจ้าสรกานิศากยะนั้นว่า เจ้าสรกานิศากยะเป็นอุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะมาตลอดกาลนาน แล้วจะไปสู่วินิบาตได้อย่างไร.
มหานาม บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว เป็นสิ่งที่จะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว นั่นคือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวได้ ๘ บุรุษ นั่นแหละ คือ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรแก่ของบูชา เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณา เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เขามีปัญญาร่าเริง มีปัญญาเฉียบแหลม และประกอบด้วยวิมุตติ เขาย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ มหานาม แม้บุคคลนี้ก็พ้นจากนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
มหานาม ก็บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … เขามีปัญญาร่าเริง มีปัญญาเฉียบแหลม แต่ไม่ประกอบด้วยวิมุตติ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เขาย่อมเป็นโอปปาติกะ ผู้จะปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา มหานาม แม้บุคคลนี้ก็พ้นจากนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
มหานาม ก็บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … เขาไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่มีปัญญาเฉียบแหลม และไม่ประกอบด้วยวิมุตติ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป (และ) เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง เขาย่อมเป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ มหานาม แม้บุคคลนี้ก็พ้นจากนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
มหานาม ก็บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … เขาไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่ปัญญาเฉียบแหลม และไม่ประกอบด้วยวิมุตติ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เขาย่อมเป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้ที่จะได้ตรัสรู้ในกาลข้างหน้า มหานาม แม้บุคคลนี้ก็พ้นจากนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
มหานาม ก็บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … เขาไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่มีปัญญาเฉียบแหลม และไม่ประกอบด้วยวิมุตติ แต่เขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์ และธรรมทั้งหลายที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมทนต่อการพิจารณาด้วยปัญญาพอประมาณ มหานาม แม้บุคคลนี้ก็ไม่ไปสู่นรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
มหานาม ก็บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … เขาไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม และไม่ประกอบด้วยวิมุตติ แต่ว่าเขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์ และเขามีศรัทธาพอประมาณ มีความรักพอประมาณในตถาคต มหานาม แม้บุคคลนี้ก็ไม่ไปสู่นรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
มหานาม ถ้าแม้ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ พึงรู้ทั่วถึงสุภาษิตและทุพภาษิตได้ เราก็จักพยากรณ์ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ว่า เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้จะได้ตรัสรู้ในกาลข้างหน้า จะกล่าวไปไยถึงเจ้าสรกานิศากยะ (เพราะ) เจ้าสรกานิศากยะ สมาทานสิกขาในเวลาสิ้นพระชนม์.
-บาลี มหาวาร. สํ. 19/470/1527.
https://84000.org/tipitaka/pali/?19//470
https://etipitaka.com/read/pali/19/470