Doing your own work.
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
Now at that time a certain junior monk, after his meal, on his return from almsround, entered his dwelling, where he adhered to passivity and silence. And he didn’t help the mendicants out when it was time to sew robes. Then several mendicants went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened.
So the Buddha addressed a certain monk, “Please, monk, in my name tell that monk that the Teacher summons him.”
“Yes, sir,” that monk replied. He went to that monk and said to him, “Reverend, the teacher summons you.”
“Yes, reverend,” that monk replied. He went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to him:
“Is it really true, monk, that after your meal, on your return from almsround, you entered your dwelling, where you adhered to passivity and silence, and you didn’t help the mendicants out when it was time to sew robes?”
“Sir, I am doing my own work.”
Then the Buddha, knowing what that monk was thinking, addressed the mendicants: “Mendicants, don’t complain about this monk. This monk gets the four absorptions—blissful meditations in the present life that belong to the higher mind—when he wants, without trouble or difficulty. He has realized the supreme culmination of the spiritual path in this very life, and lives having achieved with his own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.”
That is what the Buddha said. Then the Holy One, the Teacher, went on to say:
“Not by being slack,
or with little strength
is extinguishment realized,
the freedom from all suffering.
This young monk,
this best of men,
bears his final body,
having vanquished Māra and his mount.”
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุใหม่รูปหนึ่งกลับจากบิณฑบาต หลังจากฉันเสร็จเข้าไปสู่วิหาร แล้วเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งเฉยอยู่ ไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายในเวลาทำจีวร.
ครั้งนั้น ภิกษุจำนวนมากพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่งในที่สมควร ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ภันเต ในกรณีนี้ ภิกษุใหม่รูปหนึ่งกลับจากบิณฑบาต หลังจากฉันเสร็จเข้าไปสู่วิหาร แล้วเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งเฉยอยู่ ไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายในเวลาทำจีวร.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาสั่งว่า ภิกษุ เธอจงไปบอกภิกษุนั้นตามคำของเราว่า อาวุโส พระศาสดารับสั่งให้เข้าไปหา.
ภิกษุนั้นทูลรับพระดำรัสแล้วเข้าไปหาภิกษุนั้น ครั้นเข้าไปหาแล้วได้กล่าวกับเธอว่า อาวุโส พระศาสดารับสั่งให้ท่านเข้าไปหา เธอรับคำของภิกษุนั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่งในที่สมควร ครั้นภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุนั้นว่า
ภิกษุ ได้ยินว่า เธอกลับจากบิณฑบาต หลังจากฉันเสร็จเข้าไปสู่วิหาร แล้วเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งเฉยอยู่ ไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายในเวลาทำจีวรจริงหรือ.
ภิกษุนั้นทูลว่า ภันเต ข้าพระองค์ก็กระทำกิจส่วนตัวเหมือนกัน.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของภิกษุนั้นด้วยใจ จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวโทษภิกษุนี้เลย ภิกษุนี้เป็นผู้มีปกติได้ตามต้องการ ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งฌานทั้ง ๔ อันเป็นไปในจิตอันยิ่ง เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร) ได้กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งไปกว่า อันเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
บุคคลปรารภความเพียรอันย่อหย่อน ปรารภความเพียรด้วยกำลังน้อย
ไม่พึงบรรลุนิพพานอันเป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลสทั้งปวงได้
แต่ภิกษุหนุ่มรูปนี้ เป็นอุดมบุรุษ ชนะมารพร้อมทั้งกองทัพได้แล้ว
ย่อมดำรงอัตภาพเป็นชาติสุดท้าย ดังนี้.
-บาลี นิทาน. สํ. 16/322/696.
https://84000.org/tipitaka/pali/?18//485
https://etipitaka.com/read/pali/16/322