A teaching visible in this very life. (3)
English translation by Bhikkhu Sujato
And then the wanderer Moliyasīvaka went up to the Buddha, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to the Buddha:
“Sir, they speak of ‘a teaching visible in this very life’. In what way is the teaching visible in this very life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves?”
“Well then, Sīvaka, I’ll ask you about this in return, and you can answer as you like. What do you think, Sīvaka? When there’s greed in you, do you understand ‘I have greed in me’? And when there’s no greed in you, do you understand ‘I have no greed in me’?”
“Yes, sir.”
“Since you know this, this is how the teaching is visible in this very life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves.
What do you think, Sīvaka? When there’s hate … delusion … greedy thoughts … hateful thoughts … When there are delusional thoughts in you, do you understand ‘I have delusional thoughts in me’? And when there are no delusional thoughts in you, do you understand ‘I have no delusional thoughts in me’?”
“Yes, sir.”
“Since you know this, this is how the teaching is visible in this very life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves.”
“Excellent, sir! Excellent! From this day forth, may the Buddha remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.”
English translation by Ṭhānissaro Bhikkhu
Then Moḷiyasivaka the wanderer went to the Blessed One and exchanged courteous greetings with him. After an exchange of friendly greetings & courtesies, he sat to one side. As he was sitting there, he said to the Blessed One, “‘The Dhamma is visible here & now, the Dhamma is visible here & now,’ it is said. To what extent is the Dhamma visible here & now, timeless, inviting verification, pertinent, to be experienced by the observant for themselves?”
“Very well, then, Sivaka, I will ask you a question in return. Answer as you see fit. What do you think? When greed is present within you, do you discern that ‘Greed is present within me‘? And when greed is not present within you, do you discern that ‘Greed is not present within me‘?”
“Yes, lord.”
“The fact that when greed is present within you, you discern that greed is present within you; and when greed is not present within you, you discern that greed is not present within you: That is one way in which the Dhamma is visible in the here & now, timeless, inviting verification, pertinent, to be experienced by the observant for themselves.
“What do you think? When aversion is present within you.… When delusion is present within you.… When a greedy quality [dhamma] is present within you.… When an aversive quality is present within you.…
“What do you think? When a delusive quality is present within you, do you discern that ‘A delusive quality is present within me‘? And when a delusive quality is not present within you, do you discern that ‘A delusive quality is not present within me‘?”
“Yes, lord.”
“The fact that when a delusive quality is present within you, you discern that a delusive quality is present within you; and when a delusive quality is not present within you, you discern that a delusive quality is not present within you: That is one way in which the Dhamma is visible in the here & now, timeless, inviting verification, pertinent, to be experienced by the observant for themselves.”
“Magnificent, lord! Magnificent! Just as if he were to place upright what was overturned, to reveal what was hidden, to show the way to one who was lost, or to carry a lamp into the dark so that those with eyes could see forms, in the same way has the Blessed One—through many lines of reasoning—made the Dhamma clear. I go to the Blessed One for refuge, to the Dhamma, and to the Saṅgha of monks. May the Blessed One remember me as a lay follower who has gone to him for refuge, from this day forward, for life.”
ครั้งนั้น โมฬิยสิวกปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่งในสมควร ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ภันเต พระองค์ตรัสว่า ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ดังนี้ ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ซึ่งไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สิวกะ ถ้าเช่นนั้นเราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ท่านจงตอบปัญหาในข้อนั้นตามที่ท่านเห็นสมควร สิวกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ ท่านย่อมทราบชัดซึ่งโลภะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีโลภะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งโลภะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีโลภะอยู่ในภายใน.
เป็นอย่างนั้น ภันเต.
สิวกะ ข้อที่ท่านย่อมทราบชัดซึ่งโลภะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีโลภะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งโลภะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีโลภะอยู่ในภายใน อย่างนี้แล คือ ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ซึ่งไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน.
สิวกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ ท่านย่อมทราบชัดซึ่งโทสะที่มีอยู่ในภายใน ในว่า เรามีโทสะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งโทสะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีโทสะอยู่ในภายใน.
เป็นอย่างนั้น ภันเต.
สิวกะ ข้อที่ท่านย่อมทราบชัดซึ่งโทสะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีโทสะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งโทสะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีโทสะอยู่ในภายใน อย่างนี้แล คือ ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ซึ่งไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน.
สิวกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ ท่านย่อมทราบชัดซึ่งโมหะที่มีอยู่ในภายใน ในว่า เรามีโมหะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งโมหะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีโมหะอยู่ในภายใน.
เป็นอย่างนั้น ภันเต.
สิวกะ ข้อที่ท่านย่อมทราบชัดซึ่งโมหะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีโมหะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งโมหะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีโมหะอยู่ในภายใน อย่างนี้แล คือ ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ซึ่งไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน.
สิวกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ ท่านย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโลภะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีธรรมที่ประกอบด้วยโลภะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโลภะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีธรรมที่ประกอบด้วยโลภะอยู่ในภายใน.
เป็นอย่างนั้น ภันเต.
สิวกะ ข้อที่ท่านย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโลภะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีธรรมที่ประกอบด้วยโลภะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโลภะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีธรรมที่ประกอบด้วยโลภะอยู่ในภายใน อย่างนี้แล คือ ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ซึ่งไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน.
สิวกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ ท่านย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโทสะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีธรรมที่ประกอบด้วยโทสะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโทสะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีธรรมที่ประกอบด้วยโทสะอยู่ในภายใน.
เป็นอย่างนั้น ภันเต.
สิวกะ ข้อที่ท่านย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโทสะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีธรรมที่ประกอบด้วยโทสะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโทสะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีธรรมที่ประกอบด้วยโทสะอยู่ในภายใน อย่างนี้แล คือ ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ซึ่งไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน.
สิวกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ ท่านย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโมหะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีธรรมที่ประกอบด้วยโมหะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโมหะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีธรรมที่ประกอบด้วยโมหะอยู่ในภายใน.
เป็นอย่างนั้น ภันเต.
สิวกะ ข้อที่ท่านย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโมหะที่มีอยู่ในภายในว่า เรามีธรรมที่ประกอบด้วยโมหะอยู่ในภายใน หรือย่อมทราบชัดซึ่งธรรมที่ประกอบด้วยโมหะที่ไม่มีอยู่ในภายในว่า เราไม่มีธรรมที่ประกอบด้วยโมหะอยู่ในภายใน อย่างนี้แล คือ ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้เอง ซึ่งไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน.
ภันเต ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภันเต ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ หรือเปิดของที่ปิด หรือบอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยตั้งใจว่า คนมีตาดีจะได้มองเห็น พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภันเต ข้าพเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาค กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
-บาลี ฉกฺก. อํ. 22/398/318.
https://84000.org/tipitaka/pali/?22//398,
https://etipitaka.com/read/pali/22/398