One thing for giving up ignorance. (1)
English translation by Bhikkhu Sujato
Then a mendicant went up to the Buddha … and said to him:
“Sir, is there one thing such that by giving it up a mendicant gives up ignorance and gives rise to knowledge?”
“There is, mendicant.”
“But what is that one thing?”
“Ignorance is one thing such that by giving it up a mendicant gives up ignorance and gives rise to knowledge.”
“But how does a mendicant know and see so as to give up ignorance and give rise to knowledge?”
“When a mendicant knows and sees the eye, sights, eye consciousness, and eye contact as impermanent, ignorance is given up and knowledge arises. And also knowing and seeing the pleasant, painful, or neutral feeling that arises conditioned by eye contact as impermanent, ignorance is given up and knowledge arises. …
Knowing and seeing the mind, thoughts, mind consciousness, and mind contact as impermanent, ignorance is given up and knowledge arises. And also knowing and seeing the pleasant, painful, or neutral feeling that arises conditioned by mind contact as impermanent, ignorance is given up and knowledge arises.
That’s how a mendicant knows and sees so as to give up ignorance and give rise to knowledge.”
English translation by Bhikkhu Bodhi
Then a certain bhikkhu approached the Blessed One … and said to him: “Venerable sir, is there one thing through the abandoning of which ignorance is abandoned by a bhikkhu and true knowledge arises?”
“There is one thing, bhikkhu, through the abandoning of which ignorance is abandoned by a bhikkhu and true knowledge arises.”
“And what is that one thing, venerable sir?”
“Ignorance, bhikkhu, is that one thing through the abandoning of which ignorance is abandoned by a bhikkhu and true knowledge arises.”
“But, venerable sir, how should a bhikkhu know, how should he see, for ignorance to be abandoned by him and true knowledge to arise?”
“Bhikkhu, when a bhikkhu knows and sees the eye as impermanent, ignorance is abandoned by him and true knowledge arises. When he knows and sees forms as impermanent … When he knows and sees as impermanent whatever feeling arises with mind-contact as condition … ignorance is abandoned by him and true knowledge arises.
“When, bhikkhu, a bhikkhu knows and sees thus, ignorance is abandoned by him and true knowledge arises.”
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ … ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ภันเต ธรรมข้อหนึ่ง ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น มีอยู่หรือไม่หนอ.
ภิกษุ ธรรมข้อหนึ่ง ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้นนั้นมีอยู่.
ภันเต ก็ธรรมข้อหนึ่งซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้นนั้นคืออะไร.
ภิกษุ ธรรมข้อหนึ่งนั้น คือ อวิชชา ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
ภันเต ก็เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละอวิชชาได้ วิชชาจึงจะเกิดขึ้น.
ภิกษุ เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งตาโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งรูปทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งจักษุวิญญาณโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งจักษุสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
ภิกษุ เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งหูโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งเสียงทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งโสตวิญญาณโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งโสตสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
ภิกษุ เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งจมูกโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งกลิ่นทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งฆานวิญญาณโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งฆานสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
ภิกษุ เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งลิ้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งรสทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งชิวหาวิญญาณโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งชิวหาสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
ภิกษุ เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งกายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งโผฏฐัพพะทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งกายวิญญาณโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งกายสัมผัสโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
ภิกษุ เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งธรรมทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งมโนวิญญาณโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งมโนสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
ภิกษุ เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละอวิชชาได้ วิชชาจึงจะเกิดขึ้น.
-บาลี สฬา. สํ. 18/61/95.
https://84000.org/tipitaka/pali/?18//61,
https://etipitaka.com/read/pali/18/61