Who is liable to decline, who is not liable to decline, and the six fields of mastery
English translation by Bhikkhu Sujato
“Mendicants, I will teach you who is liable to decline, who is not liable to decline, and the six fields of mastery. Listen …
And how is someone liable to decline? When a mendicant sees a sight with the eye, bad, unskillful phenomena arise: memories and thoughts prone to fetters. Suppose that mendicant tolerates them and doesn’t give them up, get rid of them, eliminate them, and obliterate them. They should understand: ‘My skillful qualities are declining. For this is what the Buddha calls decline.’
Furthermore, when a mendicant hears a sound … smells an odor … tastes a flavor … feels a touch … knows a thought with the mind, bad, unskillful phenomena arise: memories and thoughts prone to fetters. If that mendicant tolerates them and doesn’t give them up, get rid of them, eliminate them, and obliterate them, they should understand: ‘My skillful qualities are declining. For this is what the Buddha calls decline.’ That’s how someone is liable to decline.
And how is someone not liable to decline? When a mendicant sees a sight with the eye, bad, unskillful phenomena arise: memories and thoughts prone to fetters. Suppose that mendicant doesn’t tolerate them but gives them up, gets rid of them, eliminates them, and obliterates them. They should understand: ‘My skillful qualities are not declining. For this is what the Buddha calls non-decline.’
Furthermore, when a mendicant hears a sound … smells an odor … tastes a flavor … feels a touch … knows a thought with the mind, bad, unskillful phenomena arise: memories and thoughts prone to fetters. Suppose that mendicant doesn’t tolerate them but gives them up, gets rid of them, eliminates them, and obliterates them. They should understand: ‘My skillful qualities are not declining. For this is what the Buddha calls non-decline.’ That’s how someone is not liable to decline.
And what are the six fields of mastery? When a mendicant sees a sight with the eye, bad, unskillful phenomena don’t arise: memories and thoughts prone to fetters. They should understand: ‘This sense field has been mastered. For this is what the Buddha calls a field of mastery.’ … Furthermore, when a mendicant knows a thought with the mind, bad, unskillful phenomena don’t arise: memories and thoughts prone to fetters. They should understand: ‘This sense field has been mastered. For this is what the Buddha calls a field of mastery.’ These are the six fields of mastery.”
English translation by Bhikkhu Bodhi
“Bhikkhus, I will teach you about one who is subject to decline, about one who is not subject to decline, and about the six mastered bases. Listen to that….
“And how, bhikkhus, is one subject to decline? Here, bhikkhus, when a bhikkhu has seen a form with the eye, there arise in him evil unwholesome states, memories and intentions connected with the fetters. If the bhikkhu tolerates them and does not abandon them, dispel them, put an end to them, and obliterate them, he should understand this thus: ‘I am declining away from wholesome states. For this has been called decline by the Blessed One.’
“Further, bhikkhus, when a bhikkhu has heard a sound with the ear … cognized a mental phenomenon with the mind, there arise in him evil unwholesome states, memories and intentions connected with the fetters. If the bhikkhu tolerates them and does not abandon them, dispel them, put an end to them, and obliterate them, he should understand this thus: ‘I am declining away from wholesome states. For this has been called decline by the Blessed One.’
“It is in such a way, bhikkhus, that one is subject to decline.
“And how, bhikkhus, is one not subject to decline? Here, bhikkhus, when a bhikkhu has seen a form with the eye, there arise in him evil unwholesome states, memories and intentions connected with the fetters. If the bhikkhu does not tolerate them, but abandons them, dispels them, puts on end to them, and obliterates them, he should understand this thus: ‘I am not declining away from wholesome states. For this has been called nondecline by the Blessed One.’
“Further, bhikkhus, when a bhikkhu has heard a sound with the ear … cognized a mental phenomenon with the mind, there arise in him evil unwholesome states, memories and intentions connected with the fetters. If the bhikkhu does not tolerate them, but abandons them, dispels them, puts an end to them, and obliterates them, he should understand this thus: ‘I am not declining away from wholesome states. For this has been called nondecline by the Blessed One.’
“It is in such a way, bhikkhus, that one is not subject to decline.
“And what, bhikkhus, are the six mastered bases? Here, bhikkhus, when a bhikkhu has seen a form with the eye, there do not arise in him evil unwholesome states, nor any memories and intentions connected with the fetters. The bhikkhu should understand this thus: ‘This base has been mastered. For this has been called a mastered base by the Blessed One.’
“Further, bhikkhus, when a bhikkhu has heard a sound with the ear … cognized a mental phenomenon with the mind, there do not arise in him evil unwholesome states, nor any memories and intentions connected with the fetters. The bhikkhu should understand this thus: ‘This base has been mastered. For this has been called a mastered base by the Blessed One.’ These, bhikkhus, are called the six mastered bases.”
ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปริหานธรรม อปริหานธรรม และอภิภายตนะ ๖ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปริหานธรรมเป็นอย่างไร คือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ เพราะได้เห็นรูปด้วยตาแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับเอาไว้ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความเสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ฟังเสียงด้วยหูแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับเอาไว้ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความเสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้กลิ่นด้วยจมูกแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับเอาไว้ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความเสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับเอาไว้ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความเสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับเอาไว้ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความเสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับเอาไว้ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความเสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย ปริหานธรรม เป็นอย่างนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานธรรมเป็นอย่างไร คือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ เพราะได้เห็นรูปด้วยตาแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับไม่เอาไว้ และย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความไม่เสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ฟังเสียงด้วยหูแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับไม่เอาไว้ และย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความไม่เสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้กลิ่นด้วยจมูกแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับไม่เอาไว้ และย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความไม่เสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับไม่เอาไว้ และย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความไม่เสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับไม่เอาไว้ และย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความไม่เสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ถ้าภิกษุรับไม่เอาไว้ และย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้ไม่มีเหลือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า เราย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าเป็นความไม่เสื่อม.
ภิกษุทั้งหลาย อปริหานธรรม เป็นอย่างนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย ก็อภิภายตนะ ๖ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ เพราะได้เห็นรูปด้วยตาแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมไม่เกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว ข้อนี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่าเป็นอภิภายตนะ.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ฟังเสียงด้วยหูแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมไม่เกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว ข้อนี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่าเป็นอภิภายตนะ.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้กลิ่นด้วยจมูกแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมไม่เกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว ข้อนี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่าเป็นอภิภายตนะ.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมไม่เกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว ข้อนี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่าเป็นอภิภายตนะ.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมไม่เกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว ข้อนี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่าเป็นอภิภายตนะ.
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะได้รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว อกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย เป็นความดำริที่ซ่านไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมไม่เกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทราบข้อนั้นว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว ข้อนี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่าเป็นอภิภายตนะ.
ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้แล เรากล่าวว่าเป็นอภิภายตนะ ๖.
-บาลี สฬา. สํ. 18/95/140.
https://84000.org/tipitaka/pali/?18//95,
https://etipitaka.com/read/pali/18/95