You can get to know a person’s ethics only after a long time. (2)
English translation by Bhikkhu Sujato
At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in the Eastern Monastery, the stilt longhouse of Migāra’s mother.
Then in the late afternoon, the Buddha came out of retreat and sat outside the gate. Then King Pasenadi of Kosala went up to the Buddha, bowed, and sat down to one side.
Now at that time seven matted-hair ascetics, seven Jain ascetics, seven naked ascetics, seven one-cloth ascetics, and seven wanderers passed by not far from the Buddha. Their armpits and bodies were hairy, and their nails were long; and they carried their stuff with shoulder-poles.
Then King Pasenadi got up from his seat, arranged his robe over one shoulder, knelt with his right knee on the ground, raised his joined palms toward those various ascetics, and pronounced his name three times: “Sirs, I am Pasenadi, king of Kosala! … I am Pasenadi, king of Kosala!”
Then, soon after those ascetics had left, King Pasenadi went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, are they among those in the world who are perfected ones or who are on the path to perfection?”
“Great king, as a layman enjoying sensual pleasures, living at home with your children, using sandalwood imported from Kāsi, wearing garlands, perfumes, and makeup, and accepting gold and money, it’s hard for you to know who is perfected or on the path to perfection.
You can get to know a person’s ethics by living with them. But only after a long time, not casually; only when paying attention, not when inattentive; and only by the wise, not the witless. You can get to know a person’s purity by dealing with them. … You can get to know a person’s resilience in times of trouble. … You can get to know a person’s wisdom by discussion. But only after a long time, not casually; only when paying attention, not when inattentive; and only by the wise, not the witless.”
“It’s incredible, sir, it’s amazing, how well said this was by the Buddha. …
Sir, these are my spies, my undercover agents returning after spying on the country. First they go undercover, then I have them report to me. And now—when they have washed off the dust and dirt, and are nicely bathed and anointed, with hair and beard dressed, and dressed in white—they will amuse themselves, supplied and provided with the five kinds of sensual stimulation.”
Then, understanding this matter, on that occasion the Buddha recited these verses:
“It’s not easy to know a man by his appearance.
You shouldn’t trust them at first sight.
For undisciplined men live in this world
disguised as the disciplined.
Like a fake earring made of clay,
like a copper penny coated with gold,
they live hidden in the world,
corrupt inside but impressive outside.”
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ วิหารบุพพาราม ปราสาทของมิคารมารดา เขตพระนครสาวัตถี.
ก็สมัยนั้น ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่ทรงพักผ่อนแล้ว ประทับนั่งที่ภายนอกซุ้มประตู ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วก็ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่งในที่สมควร.
ก็สมัยนั้น ชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎก ๗ คน ปริพาชก ๗ คน ผู้มีขนรักแร้ เล็บ และขนยาว ถือเครื่องบริขารต่างๆ เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ทันใดนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกระทำผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง จดเข่าขวา ณ พื้นแผ่นดิน ประนมมือไปทางชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฏก ๗ คน ปริพาชก ๗ คนเหล่านั้นแล้ว ทรงประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่า ภันเต ข้าพเจ้าคือพระราชาปเสนทิโกศล ภันเต ข้าพเจ้าคือพระราชาปเสนทิโกศล ภันเต ข้าพเจ้าคือพระราชาปเสนทิโกศล.
ลำดับนั้น เมื่อชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎก ๗ คน ปริพาชก ๗ คนเหล่านั้น เดินผ่านไปได้ไม่นาน พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จกลับเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้ว ก็ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่งในที่สมควร พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่งในที่สมควรแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ภันเต พวกนักบวชเหล่านั้น คงเป็นพระอรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหัตมรรคเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลก.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มหาราช ท่านเป็นคฤหัสถ์ ยังบริโภคกาม ยังอยู่ครองเรือน ยังนอนเบียดบุตรและชายา ยังทาจุรณที่ทำจากไม้จันทน์อันนำมาจากแคว้นกาสี ยังทัดทรงมาลาของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีทองและเงิน ยากที่จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้เป็นอรหันต์ หรือคนพวกนี้บรรลุอรหัตมรรค.
มหาราช ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ทรามปัญญาก็ไม่รู้.
มหาราช ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ1 ก็ความสะอาดนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ทรามปัญญาก็ไม่รู้.
มหาราช กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ทรามปัญญาก็ไม่รู้.
มหาราช ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ทรามปัญญาก็ไม่รู้.
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ภันเต ข้อนี้น่าอัศจรรย์ ภันเต ข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อน ภันเต พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องนี้ไว้ดียิ่งนักว่า
มหาราช ท่านเป็นคฤหัสถ์ ยังบริโภคกาม ยังอยู่ครองเรือน ยังนอนเบียดบุตรและชายา ทาจุรณที่ทำจากไม้จันทน์อันนำมาจากแคว้นกาสี ยังทัดทรงมาลาของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีทองและเงิน ยากที่จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้เป็นอรหันต์ หรือคนพวกนี้บรรลุอรหัตมรรค.
มหาราช ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ทรามปัญญาก็ไม่รู้.
มหาราช ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ ก็ความสะอาดนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ทรามปัญญาก็ไม่รู้.
มหาราช กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ทรามปัญญาก็ไม่รู้.
มหาราช ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ทรามปัญญาก็ไม่รู้.
ภันเต นักบวชเหล่านั้นเป็นคนของข้าพระองค์ เป็นจารบุรุษ (หน่วยสอดแนม) เป็นคนสืบข่าวลับ เที่ยวสอดแนมไปยังชนบทแล้วพากันกลับมา หลังจากนี้ข้าพระองค์จึงจะรู้เรื่องราวที่คนเหล่านั้นสืบมาได้ ภันเต บัดนี้คนเหล่านั้น คงจะชำระล้างละอองธุลีนั้นแล้ว อาบสะอาดดี ลูบไล้ผิวดี โกนผมและหนวดแล้ว นุ่งห่มผ้าขาว อิ่มเอมเปรมปรีด์ ถูกปรนเปรอด้วยกามคุณทั้ง ๕ อยู่.
นรชนผู้มีความรู้ดี ไม่ควรไว้วางใจใคร เพราะผิวพรรณและรูปร่าง
ไม่ควรไว้วางใจใคร เพราะการเห็นกันเพียงชั่วครู่เดียว
เพราะว่านักบวชผู้ไม่สำรวมทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปยังโลกนี้
ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวชผู้สำรวมดีแล้ว
นักบวชเหล่านั้นผู้ไม่บริสุทธิ์ในภายใน งามแต่ภายนอก
แวดล้อมด้วยบริวารท่องเที่ยวอยู่ในโลก
ประดุจตุ้มหูดิน และเหรียญโลหะหุ้มด้วยทองคำปลอมไว้.
-บาลี สคาถ. สํ. 15/113/354.
https://84000.org/tipitaka/pali/?15//113
https://etipitaka.com/read/pali/15/113/
1 แปลศัพท์อิงตามบาลี 21/254/192เพราะ สํโวหารมี 4 ความหมาย คือ การงาน เจตนา บัญญัติ และถ้อยคำ