Compare the transformation of the Shady Orchid Tree to the practice of a mendicant.
English translation by Bhikkhu Sujato
“Mendicants, when the leaves on the Shady Orchid Tree belonging to the Gods of the Thirty-Three turn brown, the gods are elated. They think: ‘Now the leaves on the Shady Orchid Tree have turned brown! It won’t be long until they fall.’
When the leaves have fallen, the gods are elated. They think: ‘Now the leaves on the Shady Orchid Tree have fallen. It won’t be long until its foliage starts to regrow.’
When the foliage starts to regrow, the gods are elated. They think: ‘Now the foliage of the Shady Orchid Tree has started to regrow. It won’t be long until it’s ready to grow flowers and leaves separately.’
When it’s ready to grow flowers and leaves separately, the gods are elated. They think: ‘Now the Shady Orchid Tree is ready to grow flowers and leaves separately. It won’t be long until buds start to form.’
When the buds start to form, the gods are elated. They think: ‘Now the buds of the Shady Orchid Tree have started to form. It won’t be long until the buds burst.’
When the buds have burst, the gods are elated. They think: ‘Now the buds of the Shady Orchid Tree have burst. It won’t be long until it fully blossoms.’
When the Shady Orchid Tree of the Gods of the Thirty-Three has fully blossomed, the gods are elated. For four heavenly months they amused themselves at the root of the tree, supplied and provided with the five kinds of sensual stimulation. When the Shady Orchid Tree has fully blossomed, its radiance spreads for fifty leagues, while its fragrance wafts for a hundred leagues. Such is the majesty of the Shady Orchid Tree.
In the same way, when a noble disciple plans to go forth from the lay life to homelessness, they’re like the Shady Orchid Tree when its leaves turn brown.
When a noble disciple shaves off their hair and beard, dresses in ocher robes, and goes forth from the lay life to homelessness, they’re like the Shady Orchid Tree when its leaves fall.
When a noble disciple, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, enters and remains in the first absorption, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected, they’re like the Shady Orchid Tree when its foliage starts to regrow.
When, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a noble disciple enters and remains in the second absorption, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and confidence, and unified mind, without placing the mind and keeping it connected, they’re like the Shady Orchid Tree when it’s ready to grow flowers and leaves separately.
When, with the fading away of rapture, a noble disciple enters and remains in the third absorption, where they meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss’, they’re like the Shady Orchid Tree when its buds start to form.
When, giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, a noble disciple enters and remains in the fourth absorption, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness, they’re like the Shady Orchid Tree when its buds burst.
When a noble disciple realizes the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements, they’re like the Shady Orchid tree when it fully blossoms.
At that time the earth gods raise the cry: ‘This venerable named so-and-so, from such-and-such village or town, the pupil of the venerable named so-and-so, went forth from the lay life to homelessness. They’ve realized the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life. And they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements.’
Hearing the cry of the Earth Gods, the Gods of the Four Great Kings … the Gods of the Thirty-Three … the Gods of Yama … the Joyful Gods … the Gods Who Love to Create … the Gods Who Control the Creations of Others … the Gods of Brahmā’s Host raise the cry: ‘This venerable named so-and-so, from such-and-such village or town, the pupil of the venerable named so-and-so, went forth from the lay life to homelessness. They’ve realized the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life. And they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements.’ And so at that moment, in that instant, the cry soars up to the Brahmā realm. Such is the majesty of a mendicant who has ended the defilements.”
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ต้นปาริฉัตตก (ต้นปาริชาติ, ต้นปาริฉัตร) ของเทวดาชั้นดาวดึงส์มีใบเหลืองแล้ว สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า เวลานี้ต้นปาริฉัตตกมีใบเหลืองแล้ว ไม่นานนักก็จักผลัดใบใหม่.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ผลัดใบใหม่แล้ว สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า เวลานี้ต้นปาริฉัตตกผลัดใบใหม่แล้ว ไม่นานนักก็จักผลิดอกออกใบ.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ผลิดอกออกใบแล้ว สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า เวลานี้ต้นปาริฉัตตกผลิดอกออกใบแล้ว ไม่นานนักก็จักเป็นช่อดอกเป็นช่อใบ.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นช่อดอกเป็นช่อใบแล้ว สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า เวลานี้ต้นปาริฉัตตกเป็นช่อดอกเป็นช่อใบแล้ว ไม่นานนักก็จักเป็นดอกตูม.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นดอกตูมแล้ว สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า เวลานี้ ต้นปาริฉัตตกเป็นดอกตูมแล้ว ไม่นานนักก็จักเริ่มแย้มบาน.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ต้นปาริฉัตตกเริ่มแย้มบานแล้ว สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า เวลานี้ ต้นปาริฉัตตกเริ่มแย้มบานแล้ว ไม่นานนักก็จักบานเต็มที่.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์บานเต็มที่แล้ว สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจ เอิบอิ่ม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำรุงบำเรออยู่ตลอดระยะเวลา ๕ เดือนอันเป็นทิพย์ ณ โคนของต้นปาริฉัตตก ก็เมื่อต้นปาริฉัตตกบานเต็มที่แล้ว แผ่รัศมีไปได้ ๕๐ โยชน์โดยรอบ และจะส่งกลิ่นไปได้ ๑๐๐ โยชน์ตามลม นี้คือ อานุภาพของต้นปาริฉัตตก.
ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น สมัยใด อริยสาวกคิดจะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ที่มีใบเหลือง.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมน้ำฝาด ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ที่ผลัดใบใหม่.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกเพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ที่ผลิดอกออกใบ.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกเพราะวิตกวิจารระงับไป จึงบรรลุทุติยฌาน อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิแล้วแลอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ที่เป็นช่อดอกเป็นช่อใบ.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกเพราะความจางคลายไปแห่งปีติ จึงอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยกาย จึงบรรลุตติยฌาน อันพระอริยะกล่าวว่า ผู้นั้นเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุขแล้วแลอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ที่เป็นดอกตูม.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกเพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน จึงบรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความบริสุทธิ์แห่งสติเพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ที่เริ่มแย้มบาน.
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนต้นปาริฉัตตกของเทวดาชั้นดาวดึงส์ที่บานเต็มที่ สมัยนั้น ภุมมเทวดาย่อมประกาศให้ได้ยินว่า ท่านผู้นี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาฟังเสียงของภุมมเทวดาแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า ท่านผู้นี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เทวดาชั้นดาวดึงส์ฟังเสียงของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า ท่านผู้นี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เทวดาชั้นยามาฟังเสียงของเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า ท่านผู้นี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เทวดาชั้นดุสิตฟังเสียงของเทวดาชั้นยามาแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า ท่านผู้นี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เทวดาชั้นนิมมานรดีฟังเสียงของเทวดาชั้นดุสิตแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า ท่านผู้นี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีฟังเสียงของเทวดาชั้นนิมมานรดีแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า ท่านผู้นี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เทวดาชั้นพรหมกายิกาฟังเสียงของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า ท่านผู้นี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ด้วยเหตุนี้ เสียงก็ระบือไปตลอดพรหมโลกชั่วขณะนั้น ชั่วครู่นั้น นี้คือ อานุภาพของพระขีณาสพ (ผู้สิ้นอาสวะ).
-บาลี ปญฺจก. อํ. 23/118/66.
https://84000.org/tipitaka/pali/?23//118,
https://etipitaka.com/read/pali/23/118