Tāyana incantation. (Principles for cultivating virtue.)
English translation by Bhikkhu Sujato
Then, late at night, the glorious god Tāyana, formerly a religious founder, lighting up the entire Jeta’s Grove, went up to the Buddha, bowed, stood to one side, and recited these verses in the Buddha’s presence:
“Strive and cut the stream!
Dispel sensual pleasures, brahmin.
A sage who doesn’t give up sensual pleasures
is not reborn in a unified state.
If one is to do what should be done,
one should staunchly strive.
For the life gone forth when laxly led
just stirs up dust all the more.
A bad deed is better left undone,
for it will plague you later on.
A good deed is better done,
one that does not plague you.
When kusa grass is wrongly grasped
it only cuts the hand.
So too, the ascetic life, when wrongly taken,
drags you to hell.
Any lax act,
any corrupt observance,
or suspicious spiritual life,
is not very fruitful.”
That’s what the god Tāyana said. Then he bowed and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right side, before vanishing right there.
Then, when the night had passed, the Buddha told the mendicants all that had happened.
“Mendicants, tonight, the glorious god Tāyana, formerly a religious founder, lighting up the entire Jeta’s Grove, came to me, bowed, stood to one side, and recited these verses in my presence.” The Buddha repeated the verses in full, adding:
“That’s what the god Tāyana said. Then he bowed and respectfully circled me, keeping me on his right side, before vanishing right there. Mendicants, learn the verses of Tāyana! Memorize the verses of Tāyana! Remember the verses of Tāyana! These verses are beneficial and relate to the fundamentals of the spiritual life.”
ครั้งนั้น เมื่อปฐมยามผ่านไปแล้ว เทวบุตรนามว่าตายนะ ผู้เป็นเจ้าลัทธิมาแต่ก่อน มีวรรณอันงามยิ่งนัก ทำวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็อภิวาทพระผู้มีพระภาค และได้ยืนอยู่นที่สมควร ตายนเทวบุตรเมื่อยืนในที่สมควรแล้ว ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
ท่านจงพยายามตัดกระแสตัณหา จงบรรเทากามเสียเถิดพราหมณ์ ฯ
มุนีไม่ละกาม ย่อมไม่เข้าถึงความที่จิตแน่วแน่ได้ ฯ
ถ้าบุคคลจะพึงทำความเพียร พึงทำความเพียรนั้นจริงๆ พึงบากบั่น
ทำความเพียรนั้นให้มั่น เพราะว่าการบรรพชาที่ปฏิบัติย่อหย่อน ยิ่ง
เรี่ยรายโทษดุจธุลี ฯ
ความชั่วไม่ทำเสียเลยประเสริฐกว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง ฯ
ก็กรรมใดทำแล้ว ไม่เดือดร้อนในภายหลัง กรรมนั้นเป็นความดี ทำแล้ว
ประเสริฐกว่า หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือนั่นเองฉันใด ฯ
ความเป็นสมณะ อันบุคคลปฏิบัติไม่ดี ย่อมฉุดเข้าไปเพื่อ เกิดในนรกฉันนั้น ฯ
กรรมอันย่อหย่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง วัตรอันใดที่เศร้าหมอง และ
พรหมจรรย์ที่น่ารังเกียจ ทั้งสามอย่างนั้น ไม่มีผลมาก ฯ
ตายนเทวบุตร ครั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว ก็ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
ครั้งนั้น เมื่อผ่านราตรีนั้นไปแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามผ่านไปแล้ว เทวบุตรนามว่าตายนะ ผู้เป็นเจ้าลัทธิมาแต่ก่อน มีวรรณอันงามยิ่งนัก ทำวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง ได้เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ก็อภิวาทเรา และได้ยืนอยู่นที่สมควร ตายนเทวบุตรเมื่อยืนในที่สมควรแล้ว ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ในสำนักของเราว่า
ท่านจงพยายามตัดกระแสตัณหา จงบรรเทากามเสียเถิดพราหมณ์
เพราะมุนีผู้ไม่ละกาม ย่อมไม่เข้าถึงความเป็นผู้มีจิตแน่วแน่ได้.
ถ้าบุคคลจะพึงทำความเพียร พึงทำความเพียรนั้นอย่างจริงจัง
พึงบากบั่น ทำความเพียรนั้นให้มั่น
เพราะว่าการบรรพชาที่ปฏิบัติย่อหย่อน ยิ่งโปรยโทษดังฝุ่นธุลี.
ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยประเสริฐกว่า
เพราะทำความชั่วแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง.
ก็กรรมใดที่ทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง
กรรมนั้นเป็นความดี ทำแล้วประเสริฐกว่า.
หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือนั่นเอง ฉันใด
ความเป็นสมณะที่บรรพชิตปฏิบัติไม่ดี ย่อมฉุดเขาไปเพื่อเกิดในนรก ฉันนั้น.
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน การปฏิบัติใดที่เศร้าหมอง
พรหมจรรย์ใดที่ตนระลึกแล้วเกิดความรังเกียจ ทั้ง ๓ อย่างนั้น ไม่มีผลมาก.
-บาลี สคาถ. สํ. 15/67/238
https://84000.org/tipitaka/pali/?15//67,
https://etipitaka.com/read/pali/15/67